บทที่ 34 การเปลี่ยนแปลง
“ทางคุณคิดว่าจะใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่”
“ผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด
จากที่ประเมินรูปแบบของงานมาคร่าว ๆ น่าจะใช้เวลาสักสามเดือนเป็นอย่างต่ำครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก
ฉันก็แค่ถามดู
ถึงจะยืดเวลาออกไปมากกว่านี้แต่ถ้าหากมันเป็นผลดีกับบริษัทฉันก็ยินดี ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ”
ช่วงกลางสัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ผมกับพี่เชนกลับกันมาจากเชียงใหม่
เราเริ่มศึกษารูปแบบงานอย่างคร่าว ๆ ของอัศวคอนสตรัคชั่น
ต้องขอบคุณพี่พิมเป็นคนที่ละเอียดและรอบคอบมาก วันนี้เป็นวันเซ็นสัญญาจริง
ทั้งผมทั้งพี่เชนและพี่พิม ยูเซย์ของเราตกลงว่ารับงานของบริษัทนี้ไว้ในการดูแล
“รายละเอียดในสัญญาครบถ้วนสมบูรณ์ดี
ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหวังแค่ว่าพวกเธอทั้งสามคนจะฟอลโล่วไปตามกฎและข้อตกลงทุกอย่างในนั้น”
คุณรันจรดปลายปากกาเซ็นต์อนุมัติไว้ในเอกสารสำคัญ
คุณทนายของบริษัทยื่นคู่สัญญาอีกฉบับให้เราทั้งสามคนเซ็นต์รับไปพร้อมๆกัน
เป็นอันว่าทุกอย่างเรียบร้อย
ตลอดการพูดคุยกันภายในห้องประชุมเล็กๆแต่หรูหรา
คุณแม่พี่เอย์พูดแต่เรื่องของธุรกิจมีทนายความกับเลขาของเธอนั่งอยู่ขนาบสองข้าง
ส่วนทางฝ่ายของเราเป็นคนเสนอข้อสัญญาเอง พี่พิมพาทนายความที่เป็นเพื่อนของเธอมาเพื่อดูข้อสัญญาบางอย่างของทางอัศวคอนด้วย
แต่ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์เราทั้งหมดจึงจบข้อตกลงทางธุรกิจกันได้
“เดี๋ยวฉันจะกลับออกไปเลย
งานเราเยอะมากจริง ๆ
ถ้าหากทางยูเซย์มีเรื่องอะไรสงสัยอยากจะถามให้ติดต่อผ่านทางคุณปู เลขาของฉัน
ไว้เราเจอกันอีกทีตอนที่งานของพวกคุณเป็น รูปเป็นร่างแล้วก็แล้วกัน
เป็นเกียรติมากนะที่ได้พวกคุณมาทำงานด้วย”
คุณรันเธอว่าแล้วลุกขึ้นทั้งเลขาทั้งทนายความต่างลุกขึ้นตาม พวกผมเองก็ลุกบ้างเช่นกัน
“ขอบคุณมากครับคุณรัน
ทางเราต่างหากที่สมควรจะพูดว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่อัศวไว้ใจให้เราดูแลเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดให้
ผมและหุ้นส่วนสัญญาว่าจะทำงานให้ดีที่สุด สุดความสามารถเลยครับ”
คุณรันยิ้มให้
ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอในลุคของผู้หญิงทำงานท่านประธานคนเก่งคนสวย
คุณแม่พี่เอย์ไม่แก่เลยสักนิดเก่งและคล่องแคล่ว
สมแล้วที่เธอดูแลบริษัทใหญ่ขนาดนี้ได้ด้วยตัวเอง
คุณคงกำลังสงสัยใช่ไหมท่าทีที่เธอมีต่อผมตลอดการเจรจานั่น
เธอมองผมแบบธรรมดามากสายตาปกติเหมือนคุยกันทั่วไปไม่มีอะไรเคลือบแฝง
ตอนนี้เราทั้งหมดกำลังเดินออกมาจากห้องประชุม
“พิชย” จู่ ๆ
เธอหยุดเดินแล้วหันมาเรียก ผมที่เดินอยู่ข้างพี่เชนหยุดชะงัก ค่อยเดินเข้าไปหาเธอ
“เป็นไปได้ไหมที่บริษัทของคุณจะส่งคนเข้ามาดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของที่นี่แบบเต็มเวลา
พวกคุณขอเวลาทางเราอย่างน้อยสามเดือน เพราะอย่างนั้นช่วงที่งานเสร็จ เวลาที่ระบบรวนหรือเกิดปัญหาคุณจะแก้ไขให้เรายังไง”
ผมคิดว่าเธอคงกังวลใจ
ผู้หญิงหัวใจเหล็กที่ต้องดูแลพนักงานหลายพันคนย่อมต้องสนใจเป็นห่วงทุกเรื่องราวเป็นธรรมดา
“เรื่องนี้คุณรันไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ
ทางเราจะมีพนักงานที่จะให้อยู่ประจำที่นี่ตลอดเวลาในการเปลี่ยนแปลงระบบ
เพราะช่วงนั้นเครื่องอาจจะเกิดปัญหาขึ้นบ่อย จนกว่าจะแน่ใจเราจึงจะส่งคนของเรากลับคืนครับ”
เธอจ้องผมนิ่งคล้ายคนรอฟังคำตอบ
ผมเองก็ตอบไปตามปกติเลยนะ ทุกบริษัทที่ผ่านมายูเซย์เราก็ทำแบบนี้เหมือนกันอยู่แล้ว
ไม่เกี่ยวว่าบริษัทไหนอย่างไร เราใช้มาตรฐานเดียวกัน
“อย่างนั้นหรือ
แล้วถ้าคนที่ฉันอยากจะให้มาอยู่ประจำเพื่อดูแลงานที่นี่คือคุณล่ะ พิชยจะทำให้ฉันได้ไหม”
“ตอนนี้ผมดูแลอยู่ที่อัศวออโต้ครับและมีสองบริษัทที่ต้องวิ่งรอกเหมือนกัน
คิดว่าคุณคงจะทราบอยู่แล้ว ทางเราวางแผนไว้แล้วว่าจะส่งใครมา
แต่ที่นี่เป็นบริษัทที่ใหญ่มากถือว่าใหญ่ที่สุดที่เราเคยรับงานมาเพราะอย่างนั้นผมกับพี่คเชนทร์ตกลงกันไว้แล้วครับว่าเราทั้งคู่จะสลับกันมาดูแลร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ทางเราจะส่งมาประจำอยู่ที่นี่อีกสองคน
จนกว่างานจะสมบูรณ์เรียบร้อย”
เธอยิ้มอ่อนโยนมากมาให้ผมยกมือขึ้นมาแตะที่แขน
ผมรู้สึกขนลุกวาบไปทั้งตัวไม่รู้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มแบบนี้ผมไม่ชอบเลยนะ
ดูเป็นทางการแปลกๆ
“ตอบได้ดีมาก
ฉันจะรอดูผลงานของเธอ ทำให้ได้จริงอย่างที่พูดล่ะ”
“ขอบคุณครับ
ผมจะทำเต็มที่”
เธอเดินไปแล้ว
ขณะที่พี่พิมก็แยกตัวออกไปกับคุณทนาย
ตอนนี้เหลือผมกับพี่เชนและคุณปูเลขาส่วนตัวของเธอ คุณปูพาพวกเราลงมาดูห้องที่จะให้ใช้เกี่ยวกับการวางระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของบริษัท
ที่ชั้นสามโซน B
“ห้องนี้คุณรันเธอสั่งให้จัดไว้สำหรับพวกคุณ
ถ้าหากมีอะไรต้องการเพิ่มเติมก็บอกผ่านทางพี่ปูได้ค่ะ
หรือถ้าจะติดต่อโดยตรงพี่จะนั่งอยู่หน้าห้องท่านประธานที่ชั้นยี่สิบสาม
ขึ้นไปหาได้ตลอด” คุณปูบอกพวกเราแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ในที่สุดผมกับพี่เชนก็ลงลิฟต์กลับกันออกมา
“หนาว.....”
ผมครางว่าแล้วห่อตัว แอร์ที่นี่หนาวมากทั้งที่อากาศภายนอกก็เย็นมากอยู่แล้ว
“ปีนี้ทำไมหนาววะพี่”
“ใส่ทั้งเชิ้ตทั้งสูทยังจะหนาวอยู่อีกมึงนี่”
“ก็มันหนาวจริงอ่ะ”
เราเดินกันมาถึงรถ พี่เชนเปิดประตูหลังแล้วหยิบเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ออกมายื่นส่งให้ผม
ผมนึกได้ทันที
“พี่เชนครับเสื้อพี่ที่ผมใส่ไปวันนั้นผมยังไม่เอามาคืนเลย”
ตัวที่พี่เอย์มันกระชากออกแล้วปาทิ้งนั่นแหละ
“ช่างเหอะ
วันไหนมึงนึกได้ค่อยเอามา” ผมจัดการสวมเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ทับลงไปอีกชั้น
โทรศัพท์ดังขึ้นพอดีเลยกดรับ พี่เชนขับรถออกไปแล้วเรากำลังมุ่งหน้ากลับออฟฟิศ
“ไงมึง
พักเที่ยงแล้วดิ่” หมาบาสมันโทรมา
“พี่ปิงจะเข้ามาป่ะเนี่ย”
“ไม่เว้ยส่งใบลาแล้วนี่”
“ลูกพี่ปิง
ผมเห็นพี่เอย์พี่น่ะควงสาวด้วย สวยเช้งวับเลย วิ๊งๆ”
“อะไรของมึงอีก”
คิ้วผมเริ่มกระตุกนิดๆ ไอ้บาสแม่งหาเรื่องมาให้กูจริงจริ๊ง
“จริงพี่วันนี้ทางฝ่ายขายเรียกมาให้ผมขึ้นไปช่วยดูเครื่องแทนพี่ใช่ป่ะ
แล้วคุณพี่เอย์น่ะกำลังพาใครสักคนนี่แหละไฮโซ้ไฮโซ เหมือนพวกดาราเลยสวยมาก เดินดูรถกันอยู่”
“เออ
ลูกค้าวีไอพีมั้ง”
“ก็คงงั้นแหละ
แต่วีไอพีมากไปนะควงแคนพี่เอย์ของพี่ได้ด้วยเหรอ”
“ว่าไงนะ!” คิ้วกระตุกจริงแล้ว
“เฮ้ยพี่ผมกินข้าวก่อนไอ้วุฒิมาแล้ว”
เสียงไอ้บาสโวยวายอะไรสักอย่างที่ปลายสายก่อนที่หมาวุฒิมันจะเอาโทรศัพท์มาพูดกับผมต่อ
“ไอ้ปิงมึงอย่าไปเชื่อมัน
ไอ้บาสมันแกล้งมึง กูก็ขึ้นไปด้วย”
“ไอ้เหี้ยตกลงว่าโกหก”
“เออมันโกหกเรื่องควงแขนแต่เรื่องความสวยนี่ไม่แหลเว้ย
หล่อนงามมาก พวกไฮโซแหละมาดูรถ เฟอ-รา-รี่” ดู๊ดูมันออกเสียงโคตรดัดจริต
“อ่อๆ”
ผมรับคำไปแล้วก็วาง
ไม่ได้ติดใจอะไรเลยนะผมเห็นหลายทีแล้วสาวสวยมาซื้อรถหรูๆคันนึงหลายสิบล้านบางทีพี่เอย์ต้องออกมาดูแลเองเลย
ลูกนักการเมืองบ้างลูกพวกนักธุรกิจใหญ่โตบ้างมันเล่าให้ผมฟังหมดนะ
เพราะงั้นผมเลยเฉย ๆ ไม่รู้สิผมเป็นผู้ชายด้วยมั้งแล้วค่อนข้างไว้ใจมัน
ผมคิดนะถ้าพี่เอย์ไม่รักผมจริงสามปีที่เราห่างกันมันคงไม่กลับมาตามง้อผมแบบนี้หรอก
หาคนใหม่ไปเลยไม่ง่ายกว่าจะมาตามง้อเด็กช่างกะโปโลแบบผมเหรอหน้าตาก็ธรรมดา
คนละระดับกันทุกอย่าง
ดอกฟ้ากับหมาวัดแหละเอาง่าย
ๆ
แต่พี่เขาคือค่อนข้างมั่นคงผมเลยเฉย
ๆ กับหลายเรื่อง
เรามาถึงที่ออฟฟิศกันช่วงบ่ายนั่งทำงานกันตลอด
พี่พิมเองก็กลับมานั่งพิมพ์ข้อมูลของบริษัทใหม่ที่เพิ่งติดต่อเข้ามาตอนนี้งานเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาก
พี่พิมถึงขนาดจำเป็นต้องมีคนช่วยรับงานแล้ว
โปรแกรมเมอร์มีเกือบสิบคนแต่มือหนึ่งยังคงเป็นพี่เชนกับผมอยู่
บางวันช่วงเย็นเราจะมีอบรมซอฟแวร์ตัวใหม่ ๆ แลกเปลี่ยนความรู้กับพวกพนักงานด้วย
มีพี่ ๆ บางคนเขียนโปรแกรมเก่งมากเพียงแต่เทคนิคยังไม่สู้เราสองคนแค่นั้นเอง
พี่เชนเคยบอกไว้ว่าไม่หวงความรู้เลย
เพราะถ้าหากพนักงานเราเก่งบริษัทเรายิ่งเติบโตขึ้นได้อีกแล้วจะมีคนที่เราไว้ใจได้ช่วยทำให้งานเราเบาขึ้น
เพราะงั้นพวกผมจึงแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่เสมอ
“ปิงล็อคประตูให้เรียบร้อย”
ตกเย็นพนักงานประจำกลับกันหมด เหมือนอย่างเคยผมกับพี่เชนอยู่โยง ผมคาบขนมเดินออกมาล็อคประตู
มันเป็นแบบประตูกระจกผลักสองบานใหญ่ ผมเลยมองออกไปด้านนอกเพิ่งจะห้าโมงกว่าแต่ฟ้าเริ่มมืดแล้วคงเพราะเป็นฤดูหนาว
เห!
ผมเพ่งดูดี ๆ
อีกครั้ง
ใครวะ? คุ้น ๆ กำลังเดินเข้ามาแล้วพี่ยามเดินเข้าไปหาคุยอะไรกันบางอย่างมือถือผมดังขึ้นพอดี
“สวัสดีครับ”
ทำไมเป็นเบอร์พี่ซ่าร์
“ปิงออกมาดูให้หน่อย
ยามที่นี่เขาว่าพี่ไม่มีบัตรให้เข้าไปไม่ได้”
“อ้าวเฮ้ย
พี่ซ่าร์มาเหรอครับ” ผมอุทานลืมตัวเพ่งดูดี ๆ
คนที่ใส่หมวกแก็ปสีดำยืนคุยกับยามอยู่มันพี่ซ่าร์จริงนี่หว่า ผมเลยรีบปลดล็อคประตูแล้วเดินออกไป
“พี่ซ่าร์เข้ามาก่อนครับพี่”
ผมพยักหน้าบอกลุงยามว่าเป็นแขกของที่นี่
คุณลุงมาถามอีกนะว่าใช่ซีซ่าร์คนนั้นหรือเปล่าพี่ซ่าร์ยิ้มให้ลุงแกไม่รู้ไปเอากระดาษมาจากไหนยกมือไหว้แล้วบอกช่วยเซ็นต์ให้หน่อยจะเอาไปฝากลูกสาว
พี่ซ่าร์ใจดีเซ็นต์แล้วเขียนชื่อลูกสาวลุงลงไปด้วยบอกให้ตั้งใจเรียนพี่เขาเป็นกำลังใจให้
“อ่ะนี่”
พี่เขายื่นถุงกระดาษส่งให้
“อะไรครับพี่”
“ขนมไง”
“ขนม?”
ผมทวนคำยกถุงขึ้นมาดู คืออะไรวะจู่ ๆ ยื่นของให้บอกขนม นี่เห็นผมเป็นเด็ก?
“ใช่
พี่ว่าจะเอาให้วันที่ปิงกลับนั่นแหละลืมไปเลยจริง ๆ
ใส่รถเอาไว้เห็นเจ้าเอย์ว่าออฟฟิศปิงอยู่แถวนี้ผ่านมาเลยแวะดูหน่อย”
“อ๋อ
ขอบคุณครับ พี่นั่งสิ” ผมว่าแล้วเดินเอาถุงของฝากเข้ามาเก็บในครัวเตรียมแก้วหาน้ำดื่ม
ที่นั่งเยอะนะแต่พี่ซ่าร์เลือกนั่งลงข้าง ๆ พี่เชนเว้ยเฮ่ย
แปลก....
“พี่เชนครับ
พี่ซ่าร์มาแหนะพี่” ผมดึงเฮดโฟนอันใหญ่ออกจากหูพี่เขา
ไม่แน่ใจว่าพี่เชนเห็นแล้วหรือยัง แต่ไม่แน่พวกเรา บางที่ถ้ากำลังมีสมาธิอยู่กับโคดของโปรแกรมจะไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลย
เหมือนองค์ลงโปรแกรมเมอร์สไตล์สมาธิเราดีมากจริงนะ
“มาทำไม”
สั้นมากและห้วน พี่ชายผมเองหันมาแล้วถามแบบ...ไร้เยื่อใยมาก
“มาหามึงไง”
อันนี้เป็นพี่ซ่าร์ตอบ สองคนสู้ตากันพี่เชนหลบก่อนอีกแล้ว ผมวางแก้วน้ำลงให้
เปิดลิ้นชักพี่เชนแล้วหยิบอมยิ้มรสคาราเมลยื่นให้อีกอัน พี่เชนรีบคว้าหมับตะครุบคืนมา
“ไม่ให้
อันนี้ของกู”
“กูอยากกินตายล่ะ”
พี่ซ่าร์ก็ปากใช่ที่นะ
“พี่เชนครับ”
ผมดุ กระทุ้งศอกไปทีพี่เชนหยิบเอาป๊อกกี้ส่งให้แทน เอาอมยิ้มยัดคืนแล้วปิดลิ้นชัก
ผมจะบอกอะไรนะลิ้นชักโต๊ะพี่เขามีแต่ขนม
ผมนี่แหละเป็นคนซื้อมาใส่ไว้ 5555 แทนบุหรี่เพราะเมื่อก่อนพี่เขาสูบแต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว
“ได้ยินว่าวันปิงไปที่อัศวคอนมาเหรอ”
พี่ซ่าร์หันมาหาผมหยิบป๊อกกี้ขึ้นแทะไปด้วย
“ครับใช่
วันนี้เราเซ็นต์สัญญากับที่นั่น ทำไมพี่รู้ล่ะครับ” ผมนั่งลงที่โต๊ะ
มองหน้าจอผมต่อ
“ไอ้เอย์โทรบอกน่ะ
ความจริงวันนี้พี่เข้าบริษัทนะแต่ทำงานคนละส่วนกัน เจ้าเอย์ห่วงเราน่าดูกำชับให้พี่ขึ้นไปดูพี่เลยบอกมันไปว่าคุณแม่กับคุณปูเลขาของท่านคุยอยู่ใครจะกล้ายุ่งล่ะ
เจอมันด่ากลับมาอ่ะดิ่ บอกวันนี้ติดลูกค้าสำคัญเลยมาไม่ได้ ลูกสาวท่านทูตมั้งชอบไอ้เอย์ด้วยนะปิงระวังไว้ให้ดี
ๆ”
“แห่ะๆ”
ผมยิ้มตาหยีเพราะรู้ว่าพี่ซ่าร์แซวเล่น แอบดีใจนิด ๆ ไม่ใช่อะไรหรอกช่วงบ่ายหลังจากไอ้หมาบาส
มันรายงานข่าวด่วน พี่เอย์โทรเข้ามาบอกผมแล้วเรียบร้อย
ผมชอบนะคือมีอะไรบอกมาเลยตรง ๆ แบบนั้นคือไม่หึงครับ ถือว่าคุณบริสุทธิ์ใจ
“แล้วก็
ช่วงบ่ายเห็นว่าไปดูโครงการก่อสร้างแถว ๆ พรานนกอีก มันโทรมาบอกปิงไหม
ช่วงนี้ออกไซด์บ่อยนี่”
“บอกครับ
เห็นว่าวันนี้จะเข้ามาค่ำ ๆ เดี๋ยวพี่ซ่าร์อยู่ทานข้าวด้วยกันนะครับพี่เอย์จะซื้ออาหารเข้ามา”
“ไอ้เอย์แม่งเปลี่ยนไปจริง
ๆ แต่เวลาอยู่กับพี่ทำไมมันเหมือนเดิมวะ กวนตีน เอาแต่ใจ คงดีแต่กับปิงคนเดียวแน่
ๆ”
“ไม่ใช่หรอกครับ”
ผมแก้ต้วอ้อมแอ้มจริง ๆ ก็เขินอยู่นะ ผมรู้ดีสิพี่เอย์น่ะเหรอมันจะซื้อของมาให้กินถ้าไม่ใช่ว่าผมอยู่ด้วย
“พี่อยู่ทานด้วยได้เหรอ”
พี่เขาหันไปหาพี่เชน
“ไม่ได้! มึงรีบกลับไปเลยมาทางไหนไปทางนั้น
กลับไปให้ไว” เสียงพี่เชนว่าขึ้นผมรีบดุ
“พี่เชน พี่!” พี่เชนขมวดคิ้วมุ่นเชียว
“พี่ซ่าร์อ่านนี่ไปนะครับ
ไม่ก็เล่นเกมส์เดี๋ยวพี่เอย์มาแล้วกินข้าวด้วยกัน
ผมขอทำงานก่อนคืนนี้กลัวไม่เสร็จ”
ผมว่าแล้วครอบเฮดโฟนใส่หูเลยใครชวนคุยตูไม่สนแล้ว
เดี่ยวเผื่อวันนี้คุณชายมากเรื่องลากผมกลับด้วยอีกงานผมไม่เสร็จแย่แน่
ต้องรีบทำก่อน พรุ่งนี้มีงานใหญ่
ผมก็พรมนิ้วลงไปคีย์บอร์ดส่วนตัวผมแม่นมากแทบจะหลับตากระดิกนิ้วได้เลย
ผมชอบทำงานแล้วฟังเพลงไปด้วยนะ กำลังจะกดหาเพลงเพราะๆ
“ทำไมไม่ไปทำงานทำการ
ดาราวางงานเหรอมึง หรือไม่มีคนจ้างแล้ว” เสียงพี่เชนดังลอดเข้ามา
ผมชะงักมือที่กำลังกดเพลงเลยดิ่ อะไรวะพี่สองคนจะกัดกันอีกเหรอ
“กูจะทำเหี้ยไรได้
หมาบางตัวมันกัดกูจนเป็นรอยแดงเถือกแบบนี้”
เฮ้ยๆๆๆๆๆ
ความอยากรู้อยากเผือกสูงปรี๊ด นี่ผมจะบาปป่ะวะพี่เขาพูดเรื่องอะไรกัน ผมแกล้ง ๆ กดๆนิ้วไปกับแป้นพิมพ์พี่เขาคงนึกว่าผมเปิดเพลงไม่ได้ยินที่พูดกันแหงเลย
ผมสาบานผมจะตั้งใจฟังให้มากที่สุด
“แล้วใครมันยั่วกูก่อน”
“ไอ้เหี้ย
กูไปยั่วมึงตอนไหน เป็นมึงทั้งนั้นทำกู”
“กูไปทำเห้ไรมึง”
“ทำเรื่องเรื่องเลว
ๆ ไง มึงอย่าคิดนะว่ากูจะปล่อยมึงไปง่าย ๆ” เสียงพี่ซ่าร์ดุมากผมไม่กล้าหันไปมอง ไม่รู้พี่สองคนทำอะไรแบบไหนกันอยู่
ฟังได้แต่เสียง
“มึงจูบกูแล้ว
มึงเป็นของกู” อันนี้เสียงพี่ซ่าร์ใจผมเต้นตุ๊มต่อม ใครจูบใครวะพระเจ้า!
“ไอ้เหี้ย!
เดี๋ยวน้องได้ยิน” พี่เชนเบรค
“ปิงมันฟังเพลง
ไม่รู้เรื่องหรอก”
“มึงเบียดมาทำไมเนี่ย
ออกไปไกลๆดิ่”
“เอาโทรศัพท์มึงมา
กูจะดู”
“เฮ้ย
จะเอาไปทำไม อย่าเล่นนะ”
“มึงมีแฟนหรือยัง”
“ถามเหี้ยอะไรของมึง
ไว้คุยกันวันหลังกูบอกแล้วใช่ไหม เดี๋ยวน้องได้ยิน”
“ได้ยินแล้วจะทำไมมึงตอบกูก่อนดิ่
มึงมีแฟนยัง”
“เรื่องของกู”
“คเชนทร์!”
“ขยับออกไปกูจะทำงาน”
“มึงมันใจร้าย”
“อย่ามางี่เง่านะซีซ่าร์
กูไม่ใช่ผู้หญิงของมึงอย่ามาหว่านกูแบบนี้กูไม่ชอบ”
“ใครกันแน่ที่หว่าน
วันนั้นมึงเองไม่ใช่หรือไงที่ทำกู มึงจูบกู ถอดเสื้อกู
ทั้งดูดทั้งกัดจนตัวกูแดงเป็นจ้ำเป็นจ้ำแบบนี้
มึงไม่คิดที่จะขอโทษหรือรับผิดชอบอะไรเลยหรือไง”
ตายห่า....ผมชะงักค้างไปแล้วพี่สองคนกำลังพูดเรื่องอะไรกัน
เหี้ยเหอะ
“ต้องการอะไรซีซ่าร์”
เสียงพี่เชนเย็นมาก
“มึงมาคบกับกู”
“ฝันเอาเหอะ
ไปฝันไกลๆกูด้วย รำคาญ”
“แต่มึงควรรับผิดชอบ”
“มึงเป็นผู้หญิงเหรอ
ถึงเป็นผู้ชายถ้ากูรักกูก็จะรับผิดชอบ”
“ไอ้เหี้ย
พูดจาหมาๆ”
“น่ารำคาญ”
“มึงมันแย่ที่สุด
ทำกูแล้วมึงยังจะเฉยอยู่อีก
ตื่นมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่นอนกอดกูไว้ทั้งคืน”
“แล้วกูทำอะไร
กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“จูบ กอด กัด
นี่คือไม่ได้ทำอะไรของมึงเหรอ”
“สรุปคือมึงติดใจกู”
“งี่เง่า
กูพูดถึงขนาดนี้มึงยังไม่เข้าใจ”
เสียงครืดดังขึ้นพี่เชนเปิดลิ้นชักโต๊ะ
ผมเหล่ดูสุดชีวิตพี่เขายื่นอะไรบางอย่างส่งให้พี่ซ่าร์
“เอาไปดิ่ นี่รูปถ่ายกูไง ไปช่วยตัวเองอยู่ในห้องน้ำไป๊ ใช้รูปกูก็ได้ถ้ามึงเงี่ยนกูนัก”
“คเชนทร์!” พี่ซ่าลุกขึ้นแล้วเว้ย ผมมองไม่เห็นหน้าพี่เขาแต่น้ำเสียงนี่คือเย็นเฉียบมาก
กำมือแน่นเลย
“กูสาบาน
กูจะจีบมึงให้ได้เลย”
“หึหึ ขำว่ะ
จะมีวันนั้นไหมล่ะมึง พ่อพระเอก พ่อดารา 5555555”
“กวนตีน”
“อย่ามายุ่งกับกู
กูมีคนที่กูชอบอยู่แล้ว”
ตึ่ง!!!
ผมหันขวับไปแบบอัตโนมัติเลยเสียงตึงที่ดังขึ้นพี่ซ่าร์ถีบเก้าอี้พี่เชนแรงมากไถลไปไกลชนชิดผนังเลย
พี่สองคนจ้องผมใหญ่
“อะ...เอ่อ
มีอะไรกันเหรอครับ เดี๋ยวผมลดเสียงก่อนนะพี่” ผมทำท่าถอดหูฟังออก พี่เชนหยิบเสื้อกันหนาวเดินมายื่นส่งให้ผม
“ใส่ซะ
อากาศเย็น มึงยิ่งเป็นหวัดง่าย”
พี่ซ่าร์ลุกพรวดเดินไปนั่งลงอีกที่ไม่ไกลกันนักพี่เขาดูอารมณ์เสียมาก
เสียงเคาะบานกระจกดังขึ้นที่ด้านหน้าผมรีบลุกขึ้นเอาเสื้อพี่เชนวางพาดไว้ก่อน
ตอนนี้พี่เอย์คงจะมาแล้ว ใจนี่เต้นตุ๊มๆต่อมๆ เลยนะทุกคำพูดที่พี่ๆสองคนคุยกันยังอยู่เต็มสองรูหู
อะไรวะทำไมคืนนั้นมันเกิดเรื่องมากมายแบบนี้ผมหลับไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยสักอย่างแย่จริง
ๆ
“หิวไหม”
พี่เอย์เอาแขนมันพาดคอผม
เดินถือถุงของกินเข้ามาเจอพี่ซ่าร์นั่งอยู่มันหยุดชะงักนิดนึง
“มึงมาทำไม”
น่าสงสารพี่ซ่าร์ว่ะเจอใครก็ถามแต่แบบนี้
“มาหาแฟน”
พี่เชนหันขวับไปมองเลย ตานี่เขียวปั๊ด ผมกับพี่เอย์มองหน้ากันผมรีบดึงพี่เอย์ให้รีบเดินเข้าไปในครัว
คืออะไรวะพี่ซ่าร์แม่งโคตรตรงอุบาทนี่ถ้าผมไม่ได้แอบฟังมาก่อนคงตกใจ
อิพี่เอย์สิหน้าตาเหรอหราพยายามจะถามแต่ผมส่ายหน้าบอกเดี๋ยวเล่าให้ฟัง
“มึงพูดเหี้ยไรเงียบปากหน่อย”
เสียงพี่เชนดังมาถึงด้านใน
“กูก็พูดของกูไปเรื่อยมึงเอาหูมาฟังเองทำไม”
“ก็....
“พี่เชนครับ
พี่ซ่าร์ครับทานข้าวด้วยกัน”
ผมเรียกตัดบททุกอย่าง
ท่าทางสองคนนั่นจะกัดกันอีกแล้ว พี่เอย์ซื้อสเต็กปลาแซลมอน มาสี่กล่องผมเลยถามว่ารู้เหรอว่าพี่ซ่าร์จะมา
มันบอกไม่รู้แต่ซื้อมาเผื่อกลัวผมไม่อิ่มเลยสำรองมากล่องนึง เราทานข้าวกันเสร็จพี่เอย์กับพี่ซาร์นั่งคุยอะไรกันอยู่ที่โซฟาคิดว่าคงจะเป็นเรื่องงานสองคนพี่น้องหน้าตาเหมือนกันเลย
ผมกับพี่เชนก็ทำงานกันต่อไปสักสามทุ่มกว่าๆพี่ซ่าบอกจะกลับผมเลยเรียกพี่เชนให้เดินออกไปส่ง
“ไปส่งทำไม
มันมาเองก็กลับเองดิ่”
“พี่เชนครับ
ออกไปส่งเถอะน่า นิดเดียว”
“ไม่เอา งานกูยุ่ง”
ว่าแล้วก็ทำงานต่อ ผมเปิดลิ้นชักพี่เขาหยิบอมยิ้มออกมาอันนึงพี่เชนเงยหน้ามอง ผมไม่สนใจเดินตามพี่เอย์ออกไปส่งด้วยอีกคน
“พี่ซ่าร์ครับพี่เชนฝากมาให้”
ผมแบมือยื่นอมยิ้มรสคาราเมลส่งไป พี่ซ่าร์ยิ้มกว้างเชียวก่อนหยิบเอา
“อย่าโกรธพี่เชนนะครับ
พี่เขาเป็นแบบนั้นแหละ บ้างาน ปากไม่ตรงกับใจ”
“ไม่โกรธหรอก
เดี๋ยววันหลังมาใหม่ ไปนะเอย์ ไปแล้วปิง”
ผมโบกมือให้ส่งยิ้ม
พี่เอย์รีบคว้าหมับลงมาจับ “จะโบกไรนักหนา ปลื้มดิ่ ขวัญใจมึงนี่”
“เอ๊าพี่ก็ พี่ซ่าร์เขาอุตส่าห์มา”
“สนิทกันจังนะ
กินข้าวนี่คุยกันตลอดมีอะไรรึเปล่าตอนที่ไปเที่ยว”
“มีมั้ง”
“กับใคร”
มันเสียงเครียดเลย ดึงแขนผมไว้ ผมเลยหยิกแก้มมันไปทีแล้วกระซิบ “กับพี่เชน พี่ซ่าร์กับพี่เชนไม่ธรรมดาแล้วพี่”
“จริงดิ่?”
พี่เอย์ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“จริงครับ”
พี่เอย์คิ้วขมวดหน้ามุ่ยไปเลยก่อนเข้ามานั่งรอผมต่อที่ด้านใน มันส่ายหัวด้วยนะคงคิดว่าไม่น่าใช่
ผมเองถ้าไม่ได้ยินกับหูว่าพี่เขาจูบกันแล้วนี่ผมไม่มีทางเชื่อลงเด็ดขาด
“ปิงมึงนอนไหน”
พี่เชนถามผม
“ว่าจะกลับครับพี่
เดี๋ยวจะเสร็จแล้ว”
“งั้นมึงเช็คอันนี้ให้กูหน่อย”
พี่เขายื่นแฟ้มมา ผมชะโงกหน้าเข้าไปดู
“กูว่ามันยังไม่โอเคว่ะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องเข้าไปแล้วกูไม่อยากให้มีปัญหาหรือสะดุดตรงไหน”
มันเป็นเลย์เอาท์คร่าว ๆ ของแผนงานบริษัทอัศวคอน
“แก้ตรงนี้ดีไหมพี่”
ผมใช้ดินสอวงลงไปให้
“แต่ถ้าแก้ตรงนั้นจุดนี้เราต้องปรับใหม่ทั้งหมด”
“ครับใช่
นิดเดียว เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมดึงแฟ้มมาแล้วลงมือทำ พี่เอย์เดินเข้ามาดูด้วย
“พอได้ไหมปิง
แม่กูเขา...เอ่อ..ดีกับมึงไหม งานมันยากเกินหรือเปล่า”
“ไม่ยากหรอกครับผมจะทำให้ดีที่สุด
คุณแม่พี่เอย์ท่านก็พูดดีกับผมนะ
เราคุยกันแต่เรื่องงานผมว่าท่านเป็นคนที่เก่งมากๆเลย
มองผมนี่ไม่มีแววตาอคติอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“คุณแม่เป็นแบบนั้นแหละ
ถ้าท่านโฟกัสเรื่องงานเราต้องทุ่มให้เต็มร้อย ท่านไม่ชอบคนเหลาะแหละงานคืองาน แล้วก็แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้เสมอ
มึงค่อย ๆ ทำไป นับจากวันพรุ่งนี้กูจะเข้าไปประจำที่นั่นบ่อยขึ้น
จะคอยดูเรื่องงานมึงให้ด้วยอีกแรง”
“ขอบคุณครับพี่”
ผมนั่งทำงานของผมไปพี่เอย์เลี่ยงไปนั่งรออยู่ที่โซฟา
พักนึงมันก็เอนตัวลงแล้วหลับ พี่เชนสะกิดบอกผมเลยเดินเอาผ้าห่มไปห่มให้พี่เอย์สะดุ้งลุกขึ้นพูดงัวเงียขยี้ตา
“กลับได้แล้วเหรอ”
ผมมองดูเวลาเที่ยงคืนแล้ว คุณชายหัวยุ่งมาก ใช้มือเสยผมให้มัน
“พี่เอย์กลับก่อนดีไหมครับ
งานผมยังไม่เสร็จเลยคิดว่าวันนี้คงไม่ได้กลับ”
“งั้นเหรอ อือไม่เป็นไรกูเอาเครื่องนอนมาเดี๋ยวไปหอบลงมาจากรถ
เปิดประตูให้กูหน่อยดิ่”
“พี่เอย์”
ผมสงสารมันจริงนะ
ถ้ามันนอนค้างที่นี่ต้องนอนพื้นแล้วพรุ่งนี้คือต้องออกเช้ามากเพราะต้องกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนออกไปทำงานอีก
“พี่...เอ่อคือ....”
ผมรู้สึกผิด
“ไม่เอาอย่าคิดมากดิ่วะ
มึงก็ทำงานไปกูนอนเฝ้าข้าง ๆ ไม่เป็นไรนี่ หรือว่ากูกวนรึเปล่า”
“ไม่ใช่ครับ
ผมกลัวว่าพี่จะไม่สะดวกสบาย”
“ไม่สะดวกที่ไหนกูเต็มใจเหอะ
อยู่กับมึงย่อมดีกว่านอนคนเดียวอยู่แล้ว”
พี่เอย์ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเราเดินกันมาถึงด้านนอก อากาศหนาวมาก ลมพัดโกรกผ่านเข้ามากลิ่นดอกโมกริมรั้วหอมมากเลย
ผมมองหารถพี่เอย์
“พี่เอย์ครับ
รถพี่?”
“เปลี่ยนใหม่แล้วล่ะ”
พี่เอย์ว่าแล้วเปิดประตูรถคันใหม่ออก หยิบกองหมอนกับผ้าห่มที่ถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบขึ้นมาใส่อก
“คันนั้นมึงบอกมีแต่กลิ่นกัสเขาใช่ไหมเสื้อเขาก็ยังอยู่หลังรถ กูเลยถอยคันนี้มาใช้เลย เปลี่ยนคันนั้นไว้เวลาไปทำงานนอกสถานที่ดูไซด์งาน
ให้พนักงานขับรถขับ กัสเขานั่งหน้าส่วนกูนั่งหลังมึงจะได้สบายใจไง แล้วคันนี้ไว้ใช้รับแฟนกูคนเดียวไม่อนุญาตให้ใครทั้งนั้นมานั่ง”
ผมเขินสุดหน้าร้อนผ่าวเลยชกต้นแขนมันไปเบา
ๆ พี่เอย์กอดคอผมไว้ ออดี้สีดำคันใหญ่ รถสวยมากเงาวับวิ๊งเลย
“หนาวเหรอ”
“ครับ หนาว”
พี่เขาเลื่อนมือเข้ามากอดที่แขน ผมซุกพี่เขาเลยดิ่
เรากำลังจะเดินเข้าออฟฟิศกันแล้ว
“พี่เอย์นอนชั้นบนก็ได้นะครับ
ผมมีห้องมีเตียงด้วย”
“แบบนั้นก็ไม่มีความหมายดิ
เหมือนนอนคนเดียวอยู่ดี”
“งั้นก็ตามใจ
อาบน้ำไหม”
“ไม่อ่ะ หนาว”
ผมกำลังจะจัดการปูที่นอนลงให้พี่เชนหันมามองพวกเรา พี่เอย์ยักคิ้วให้แจกคำพูดกวนตีนอีกแล้ว “มึงไปเอาไม้มาถูให้ดิ เหมือนวันนั้นไง”
“เรื่องดิ่”
“เออ
งั้นเดี๋ยวกูพาปิงกลับเลย” พี่เชนลุกพรวดขึ้นจ้องหน้ากัน
“งานกูยังไม่เสร็จ
มึงห้ามงอแงนะ เรื่องมากกูไล่กลับแม่งทั้งคู่”
พี่เชนบ่นงึมงำแต่ก็เดินไปเอาม็อบออกมาถูๆลากๆให้นะ
พี่เอย์มองแล้วอมยิ้มด้วยผมรู้ว่ามันน่ะรู้สึกดีกับพี่เชนแล้วล่ะไม่งั้นไม่สนใจพูดด้วยหรอก
“เอ้า..เอาไปเก็บเอง”
พี่เชนยัดไม่ถูพื้นใส่มือพี่เอย์ “ล้างให้ด้วย ล้างให้สะอาดหลาย ๆ น้ำ”
“กูทำไม่เป็นหรอก”
พี่เอย์จับเอาไม้พิงโต๊ะพี่เชนไว้แล้วนอนลงบนที่นอนตัวเองกอดหมอนห่มผ้าแล้วหลับตาเลย
ผมกับพี่เชนยืนมองดูมัน คุณชายมีหรี่ตาขึ้นมาดูพี่เชนด้วยเว้ย
พอเห็นพวกผมจ้องอยู่รีบหลับปี๋เลย
“กูหลับแล้วเหอะ
มึงเอาไปล้างเองดิ”
“ชิ
แฟนมึงแม่ง” พี่เชนบ่น ๆ แต่ก็จับเอาไม้ถูเข้าไปล้างให้อยู่ดี
สรุปคืนนั้นพี่เอย์หลับปุ๋ยก่อนเพื่อน ผมกับพี่เชนตีสองกว่า ๆ
มั้งถดไถลงนอนๆอยู่แถวนั้นแหละไม่รู้เรื่องว่าเช้าตอนไหน
จนกระทั่ง...
“เหี้ยยยยยยยยยยย!!!”
เสียงพี่เอย์ดังมาก
ทั้งผมทั้งพี่เชนเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพรวดพราดพร้อมกัน
“เป็นไรพี่เป็นไร”
ผมถามหน้าตื่นหันซ้ายหันขวา
“ไอ้ปิง
หมาปิง” พี่เอยืเป็นไรวะ เสียงแม่งเหมือนเด็กจะร้องไห้ ผมคิดว่ามันคงจะฝันร้าย
“ฮ้าววววว
ไรอ่ะพี่ พี่เอย์เป็นไรครับฝันเหรอ” ผมหาวไปด้วยถามไปด้วย
พี่เชนขยี้ตามองนาฬิกาแล้วล้มตัวลงนอนต่อ พี่เอย์ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือหน้าตาเหมือนจะร้องไห้มากจริงนะ
ฝันอะไรของมัน
โตแล้วแท้ ๆ
“พี่เอย์พี่เป็นไร”
“ไอ้เหี้ย
มึงทำไมถึงมานอนด้านนี้” คุณชายเบะปาก
“ก็ผมนอนด้านนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่
พี่ยังลืมตาดูผมเลยอ่ะตอนผมจะนอน”
“กูก็ลืมนี่
กูนึกว่ามึงนอนด้านนี้ด้วย ที่ห้องกูเตียงของเรามึงนอนด้านซ้ายนะ”
“อือ
แล้วไงอ่ะครับ”
“ไอ้หมาปิง! ก็เมื่อคืนกูนึกว่ามึงนอนฝั่งนี้”
“อือครับ
แล้วไงเหรอ” โอยยยผมง่วงมากเลยขอล้มตัวลงนอนต่ออีกนิดเถอะว่ะ
มองไปดูฝั่งซ้ายพี่เชนนอนเบียดๆจนจะตกฟูกอยู่แล้ว หลับตากรนต่อ
“บ้าๆๆ
กูกอดไอ้เหี้ยตัวยักษ์นี่ทั้งคืนเลยดิ่ กูอยากจะร้องไห้ ฮือๆๆๆ”
“โอ๋ๆๆ
ไม่เป็นไรหรอก นอนต่อเถอะพี่นอนๆๆ” ผมดึงแขนมันให้นอนลงคิดว่ามันฝันร้าย
พี่เอย์พูดอะไรที่ผมจับใจความไม่ได้ คือสมองผมยังไม่รีเซทเลยนะ
มันเออเร่อมาตั้งแต่เมื่อคืนโน่น ยังไงก็ช่างก่อนผมง่วงจะตายห่าแล้ว มันพูดว่ามันกอดใครวะตัวยักษ์
แต่ช่างเหอะพรุ่งนี้ช่วงบ่ายผมต้องเข้าไปทำงานที่อัศวคอนเป็นวันแรก
ผมต้องเก็บแรงไว้เยอะๆ
.
.
เช้าตรู่วันต่อมาหลังจากพี่เอย์ออกไปแล้วผมอาบน้ำแต่งตัวลงมากินข้าว
พี่เชนโซโล่อาหารง่าย ๆของเราสองคนจากไมโครเวฟ วันนี้พี่เขาไม่ได้ไปไหนเรานัดกันที่อัศวคอนช่วงเที่ยง
แต่ตอนเช้าผมต้องเข้าไปที่ศูนย์รถก่อน มีงานบางอย่างที่ต้องทำ ต้องเคลียร์
“ปิงมานี่ดิ๊”
ไอ้วุฒิกวักมือเรียก
ผมเพิ่งเดินไปบอกพี่ปอนด์เรื่องลางานพี่เขาเลยบอกว่าคุณภีมลงมาบอกไว้แล้ว
“งานทางนั้นยาวเลยดิมึง”
“มั้ง
แต่กูก็ต้องแวะมาที่นี่ตลอดอยู่แล้ว สลับกันกับพี่เชน ที่นั่นคือบริษัทเขาใหญ่มากจริงว่ะมึง
กูทิ้งไม่ได้เลย”
“เข้าใจเว้ยโชคดี”
“ไอ้เหี้ย พูดอย่างกับจะไม่เจออีกนาน
พรุ่งนี้กูก็มาที่นี่เหมือนเดิมอ่ะแหละ”
“อ้าวเหรอ
มาเหรอ”
“สัส กวนนะมึง
ว่าแต่ไอ้บาสไปไหนวะ” ผมหันซ้ายหันขวา วุฒิยื่นหมากฝรั่งให้ ผมรับมาแกะกิน
“ขึ้นไปฝ่ายขาย
มันพอเป็นเรื่องโปรแกรม ที่มึงฝากให้ช่วยนั่นแหละ มันเลยต้องวิ่งรอกดูแทนให้ตลอด”
“เหยดเข้ กูต้องขอบคุณมันมากหน่อยซะแล้ว
เดี๋ยวคิดก่อนจะซื้ออะไรให้มันดีถ้วยถังกะละมังไห”
“ฮ่าๆๆๆๆ
มันคงดีใจตายห่าล่ะ”
ผมสองคนหัวเราะกันลั่น
“ปิง
เราสามคนไม่ได้ไปเตะบอลกันนานแล้วนะ เย็นนี้ไปได้ป่ะวะ”
“เย็นนี้?”
ผมนึกๆๆๆแล้วก็นึก
“อือ
ช่วงนี้มึงไม่มีเวลาให้พวกกูเลย กินเหล้ากันสักวันดิ่”
“ไปได้ๆ
เดี๋ยวกูรีบทำงานให้เสร็จ วันนี้จะกลับไปนอนกับคุณนายแม่ดีกว่า
เจอกันสักสองทุ่มไหม ยังไง เตะบอล เรื่องแดกเหล้าไว้ค่อยนัดกันอีก”
“เออเย็นนี้เดี๋ยวกูโทร”
“จ๋าจ๊ะ
น้องวุฒิ”
“สัส”
ฮ่าๆๆๆๆ
เที่ยงกว่า ๆ
“ตายๆๆๆรถอะไรช้าฉิบหาย
นี่บีทีเอสบ้านกูมันช้าได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”
ผมวิ่งไม่คิดชีวิตทันทีที่ประตูเปิด
จับมอไซด์รับจ้างซิกแซกนิดหน่อยตอนนี้ผมก็มายืนอยู่หน้าบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแล้วเรียบร้อย
ช่วงพักเที่ยงพอดี มีพนักงานเดินกันให้วุ่นรถเข้าออกตลอดทางด้านข้าง ผมโทรหาพี่เชนถามพี่เขาบอกว่ามาถึงแล้วอยู่ที่ห้องคอมชั้นสาม
นึกขึ้นได้เพราะวันนั้นคุณปูเลขาของคุณแม่พี่เอย์บอกห้องที่เราต้องใช้ทำงานไว้แล้ว
ผมยื่นบัตรที่ได้มาเพื่อขอเข้าไปด้านในคราวนี้พี่ยามยิ้มให้พร้อมทำความเคารพอีกต่างหากผมเลยรีบโค้ง
ๆ ก้มหัวลงไปแขวนบัตรไว้ที่คอ พี่เขายิ้มใหญ่เลยบอกผมโค้งได้สวยงามมาก ผมเดินมาที่ชั้นหนึ่งกว้างขวางโอ่โถงพื้นนี่เป็นหินอ่อนขัดสีเทาเงาวับ
มองหาลิฟต์ว่ามันตั้งอยู่แห่งหนใดเพราะวันนั้นตอนลงคือลงที่ชั้นใต้ดินลานจอดรถเลย
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเดินมาที่ชั้นนี้
สำหรับลิฟต์แก้วตัวใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางผมขอบาย มีลิฟต์อีกสองฝั่งดูหรูหราสีทองใหญ่มากเอาวะ กูเลือกอันนี้ล่ะ
มองไปดูรอบ ๆ แต่ล่ะคนคือไม่สนใจกันเลย คนเยอะนะแต่ดูเหมือนวุ่นกันไปหมด
ผมก็ยืนรอลิฟต์มันลงมา
รอไปเรื่อย ๆ ดูนั่นดูนี่ไป
ติ๊ง....
เสียงลิฟต์เปิดออก
ผมดีใจกำลังจะก้าวขาเข้าไปแต่ก็ต้องหยุดชะงักกึก...
เมื่อมองเห็นว่าใครกันที่ยืนอยู่ด้านใน
พี่เอย์กับเลขาของมัน
สองคนมองออกมาที่ผมพี่เอย์ตาโตเลย อะไรกันผมก็บอกมันแล้วนี่ว่าผมจะเข้ามาวันนี้ แต่อย่างว่าผมเองก็ตกใจมากคือไม่คิดว่าจะได้เจอ
บริษัทมันกว้างใหญ่มากเจอกันได้นี่แปลกเลย
ขาผมกำลังจะก้าวเข้าไปแต่เสียงคนข้าง
ๆ พี่เอย์ดังขึ้น
“ลิฟต์ลงนะครับ
ไม่ใช่ลิฟต์ขึ้น”
มือเล็กยื่นมากดปุ่มปิด
ผมก้าวถอยหลังทันที ประตูลิฟต์ค่อยเลื่อนปิดลงพร้อม ๆ กับภาพใครคนนั้นที่ผมเรียกว่าแฟน
กำลังจะหายไปจากสายตาผม
ใจผมหล่นวาบ
แต่ในที่สุดประตูเปิดกว้างออกอีกครั้ง
พี่เอย์ก้าวออกมาเร็วมาก เดินฉับๆเข้ามาหาผมเลย
“เพิ่งมาถึง?”
ผมพยักหน้าหงึกๆเอื้อมมือไปกดลิฟต์ใหม่
“กูกำลังจะออกไปไซด์งานตกใจหมดเลยไม่คิดว่าจะเจอมึง”
“ผมก็ตกใจพี่”
เอาจริง ๆ เราสองคนไม่เคยเจอกันที่นี่มาก่อนเลยนะ
“สักสองสามชั่วโมงเดี๋ยวกลับมา
ห้องมึงอยู่ชั้นสามใช่ไหมกูไปดูมาแล้ว”
“ใช่ครับ”
“เดี๋ยวกูเดินขึ้นไปส่งนะ”
ลิฟต์เปิดออกพอดี พี่เอย์ดึงแขนผมเดินเข้าไปด้านใน เลขามันยืนกดหมายเลขสามให้
“ขอโทษนะครับเมื่อกี้ผมจำไม่ได้จริง
ๆ ขอโทษที่เสียมารยาท” พี่เขาอมยิ้มส่งมาให้ แต่ผมแกล้งทำเมิน ๆ
ไม่สนใจเงยหน้าทำท่าดูเพดานลิฟต์ พลางนึกในใจ ขอโทษพ่องดิ่
กูนี่ใจหายวาบแฟนกูทั้งคนจะหายไปกับมึงในลิฟต์นั่นอ่ะ ตรง ๆ เลยไหม ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งขี้อ้อนทั้งรักผม
ผมก็หวงมันนะ ถึงบางทีมันจะเหี้ยไปบ้างก็เออ คนอ่ะใครมันจะเพอร์เฟควะ
“เนคไทมึงเบี้ยวปิง
ผูกยังไง”
พี่เอย์เอื้อมมือขึ้นมาจัดปมให้ผมใหม่
“แล้วนี่ทำไมไม่ใส่เสื้อกันหนาวมา
อากาศเย็น แอร์ที่นี่หนาวมากด้วยเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกมึงนี่น๊า” มันจัดๆเสื้อให้ผม
เสยผมให้อีกด้วยผมก็ยืนให้มันจัดนะ ช่างดิ่ แฟนผมอ่ะ ไม่อายใครหรอก
“ผมลืม”
“เสื้อคลุมกูอยู่ที่ห้องชั้นยี่สิบสามมึงขึ้นไปเอาได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ลิฟต์เปิดออกพอดี
พี่เอย์เดินออกมาส่ง เลขามันหอบแฟ้มอะไรไม่รู้เต็มอ้อมอกเลย ท่าทางงานจะเยอะน่าดู
“เดี๋ยวเย็นนี้กลับพร้อมกัน
กูจะเข้ามาตอนเย็น ๆ ดูงานสองที่อาจจะช้าหน่อยรออยู่นี่อย่าเพิ่งกลับก่อนเข้าใจไหม”
“แต่วันนี้ผมนัดพวกไอ้บาสกับไอ้วุฒิไปเตะบอล”
“นั่นแหละเดี๋ยวกูไปส่ง
อย่าลืมนะถ้าหนาวก็ขึ้นไปเอาเสื้อกูอยู่ข้าง บนพาดไว้ที่เก้าอี้มึงหยิบไปใช้ได้เลย”
“ครับ”
ผมพยักหน้ารับคำ มันเอื้อมมือมาจับสายกระเป๋าผมรั้งขึ้นดู
“หนักว่ะ
มึงแบกไรมาเนี่ย”
“เครื่องคอมไง”
ผมเป็นอะไรล่ะ
โปรแกรมเมอร์แถมพ่วงตำแหน่งนักวิเคราะห์ระบบเข้าไปอีกคุณคิดว่าผมจะเดินเข้าบริษัทตัวเปล่า
ๆ ได้เหรอ ผมแบกทีนึงสองเครื่องเลยเหอะ
“เดี๋ยวก็เตี้ยหรอก
แบกหนักขนาดนี้มายังไงเนี่ย มอไซด์เหรอ”
“ก็นะ
บีทีเอสต่อมอไซด์ลงหน้าบริษัทเป๊ะเลย”
“พรุ่งนี้มึงเข้าไปเลือกเอารถสักคันไป
กูอนุญาต”
ผมส่ายหน้ายกมือโบ๋เบ๋
พี่เอย์ผลักหัวผมมาทีเงิบกันไป แฟนผมใจดีนะแต่ผมไม่เอาของมันหรอก
ผมไม่ใช่คนเห็นแก่ได้ขนาดนั้น
“พี่เอย์รีบไปเถอะครับเดี๋ยวสายนะ”
ผมส่งยิ้มหวานให้ลืมไปเลยว่าเลขามันเดินตามหลังพวกเรามา พี่เอย์ตบไหล่ผมเบา ๆ เราสามคนเดินมาหยุดลงที่หน้าห้องพอดี
“ใจร้ายจังนะเอย์
ไม่คิดจะแนะนำกัสกับน้องเขาจริงอ่ะ งั้นกัสแนะนำตัวเองก็ได้” เสียงเล็กแทรกขึ้นมา
พี่เขาเดินเข้ามาใกล้เราสองคน ผมเริ่มเอะใจนิดหน่อยทำไมเลขาถึงได้เรียกชื่อตัวเองกับชื่อของเจ้านายสนิทสนมขนาดนั้น
ปกติน่าจะใช้คำว่า ‘คุณเอย์’ กับคำว่า ‘ผม’ แทนตัวเองดิ
“สวัสดีครับปิง
ผมกัสมา เป็นเลขาของเอย์ที่อัศวคอนครับ”
พี่เขาเรียกผมว่าปิงด้วยทั้งที่ป้ายชื่อที่คอผมนี่เขียนไว้ว่า
พิชย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ
เรีกกผมว่าพี่กัสก็ได้” มือเล็กยื่นออกมาให้ผมจับ พี่เขายิ้มให้รอยยิ้มน่ารักมากๆ
“สวัสดีครับคุณกัสมา”
ผมยังคงเลือกที่จะเรียกชื่อจริงพี่เขาดีกว่า ผมยืนออกไปจับตอบ มือพี่เขานิ่มมากคล้ายมือผู้หญิง
หน้าตาท่าทางเหมือนทอมบอยน่ารัก
“กูจะออกไปแล้วนะ
กลัวจะสายเดี๋ยวเลทมากไม่ดี” พี่เอย์บอกผมยกมือขึ้นมาแตะหลังแล้วทำท่าจะเดินออกไป
โทรศัพท์มันดังขึ้นพี่เขาเอาออกมากดรับ พูดเป็นภาอังกฤษทั้งหมดใจความเป็นเรื่องาน พี่เอย์หันออกไปคุยอีกด้านแต่ผมก็ยังได้ยินเสียงมันอยู่ดี
เดี๋ยวนี้ผมเก่งแล้วนะพี่เชนสอนจนผมพูดไฟแลบเลยแต่ยังไม่คล่องเท่าพี่เอย์หรอก พอจะรู้เรื่องแหละเพราะผมขยันท่องขยันจำตอนอยู่บนรถจากกรุงเทพเชียงใหม่ เชียงใหม่กรุงเทพเราสปีคอิ๊งกันตลอดทางเลย
เดี๋ยววันหลังผมจะพูดอวดพี่เอย์
ผมก็คิดโน่นนี่ไป
“ดีใจมากเลยครับที่ได้เจอกันแบบจริงจังเสียที
ผมอยากจะเจอตัวจริงคุณมานานแล้ว ความจริงเราเคยเจอกันแล้วนะครั้งนึง แต่ตอนนั้นมีเรื่องมีราวขึ้นมาก่อนผมเลยยังไม่มีโอกาสได้คุยเลย”
เสียงพี่เขาดังขึ้นผมหันไปมอง รอยยิ้มน่ารักช่างพูดยิ้มกับผมแบบเป็นมิตรมาก
ความจริงแล้วพี่เขาน่าจะนิสัยดีนะผมว่า
ถ้าไม่ติดว่าวันที่ผมเจอพี่เขาวันแรก
กับไอ้ท่าทางสนิทชิดเชื้อแบบนั้นกับพี่เอย์ แล้ววันนั้นที่พี่เอย์มันปัดเครื่องคอมตกที่ศูนย์รถนั่น ผมคงไม่อคติกับมันขนาดนี้
แต่ผมจะทำตัวเป็นนางเอกไปก่อน
ผมส่งยิ้มไปให้
“อ้อครับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“เปล่าหรอกครับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกแค่อยากรู้จักน่ะ
ได้ยินเอย์พูดถึงปิงตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่นิวยอร์กแล้ว
ผมเลยคิดว่าตัวจริงคุณจะเป็นคนแบบไหนกันนะ แค่นั้นแหละครับ”
เห?? สมัยเรียนอยู่ที่นิวเยอร์ก ??
“คุณกัสมาเรียนที่เดียวกับพี่เอย์เหรอครับ”
ผมถามเสียงเรียบทั้งที่ใจนี่ ยิ่งกว่าลุ้นหวย
อย่าตอบว่าใช่นะมึง
“ใช่ครับ
เราเรียนที่เดียวกัน คณะเดียวกัน แล้วก็พักอยู่ด้วยกันครับ อืม ฝึกงานที่เดียวกันด้วยนะ ตลอดสามปีเลย”
ผมสตั๊นได้อีก คุณรู้ไหม
“กัส”
พี่เอย์คุยเสร็จเดินเข้ามาหาพี่คนนั้น
“มิสเตอร์เอริคของเดอะเรสสิเดนท์ทาวน์โทรมา
เดี๋ยวช่วยเช็คข้อมูลตัวแปรโครงสร้างไซด์ซีอีกที เขาค่อนข้างกังวลเรื่องคุณภาพของทุกอย่างอยากให้เราการันตีออกมาเป็นรายละเอียดแบบย่อแล้วส่งไป
จัดการให้ผมด้วยผมตกลงไว้ไม่เกินสัปดาห์หน้า”
“ได้ครับ” พี่คนนั้นรับคำ
เอาบางอย่างขึ้นมาจดๆ
“ปิงเดี๋ยวกูต้องออกไปก่อนเย็นจะแวะมาห้ามกลับก่อนนะ
ย้ำอีกครั้ง” ผมจ้องหน้ามัน คำพูดเลขามันลอยอยู่เต็มหัว
กูว่าแล้วรู้สึกนะว่ามันกับคุณซูกัสอะไรนี่สนิทกันมากเกินไปหน่อยรึเปล่าที่แท้เรียนมาด้วยกันตลอดสามปีเรื่องจริงเหรอวะเนี่ย
“เป็นอะไร??”
พี่เอย์ถามขึ้น
ผมดึงแขนมันเดินห่างออกมาอีกนิดแล้วกระซิบถาม
“พี่สองคนเรียนจบมาจากนิวยอร์กพร้อมกันเหรอครับ”
“ใช่ มีอะไร?”
“......”
เออก็ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากถามดูว่าใช่แน่
ๆ จริงไหม ก็แค่นั้นไง
ผมผิดป่ะล่ะผมแค่อิจฉาตอนที่พี่ห่างจากผม
กลับเดินอยู่ข้าง ๆ เขาตลอดเวลา
ตั้งแต่สามปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ข้างตัวพี่ก็ยังคงมีเขาอยู่ด้วยตลอด
ผมผิดมากป่ะวะที่เป็นคนคิดมากแบบนี้
ขี้หึงด้วยนะผมอ่ะ อะไรวะกับคนอื่นผมไม่เห็นคิดมากแบบนี้ โฮ้ยยย ปวดกบาล
มือใหญ่ยกขึ้นมายีหัวผมอีกแล้ว
เวลาที่มันรู้ว่าผมไม่สบายใจพี่เอย์จะทำแบบนี้ทุกครั้ง ผมเงยหน้ามองมัน
พี่คนนั้นเองก็มองมาทางพวกเราสองคน
“เดี๋ยวกูจะรีบกลับมา”
พี่เอย์กำลังจะเดินออกไป ผมเห็นเลขามันยิ้มให้ผมอีกแล้ว
โคตรเกลียดรอยยิ้มน่ารักนั่นเลยให้ตายเหอะ
“มีอะไรปิง”
ผมรั้งแขนพี่เอย์ไว้ มันเลยหันมาถามอีก ผมมองซ้ายมองขวา
ตอนนี้ไม่มีใครมีแค่เราสามคนแค่นั้น
“ผมหึงพี่ไง”
ผมป้องมือกระซิบเบา ๆ เอาดิ่
กูก็ตรงเป็นเหมือนกันนะ มันหันมาเลิกคิ้วถาม ประมาณว่าหึงกูกับกัสเนี่ยนะ
ผมเลยตีคิ้วส่งไป
พี่เอย์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์หนึ่งทีก่อนมองซ้ายมองขวาแล้วทำอะไรบางอย่าง
“ฟอดดดดดดด เดี๋ยวกูกลับมาเย็น ๆ รอนะรู้ป่ะ”
มันทำทุกอย่างด้วยความเร็วสูงมากจริง
ๆ หอมแก้มผมตอนไหนไม่รู้เลยต่อหน้าต่อตาเลขามันอ่ะแหละ ผมหน้าร้อนผ่าว
อิพี่เอย์บ้าหน้าด้านทำอะไรไม่อายเหอะ จริง ๆ โคตรดีใจนะ ผมรู้ตัวอีกทีคือพี่เขาเดินออกไปแล้วหันมาชี้มือบอกผมว่าให้รอ
ผมยืนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้นกี่วิไม่รู้
รู้ตัวอีกทีพี่เชนเปิดห้องออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดึงผมให้เดินเข้าไป
“เป็นเหี้ยไรของมึง เอาเครื่องออกมาได้แล้วเร็ว ทำงานๆ
เออเร่ออีกแล้วนะเดี๋ยวเจอกูรีเซทให้แล้วมึงจะหนาวเลย”
"หยึยขนลุกพูดอะไรของพี่วะ"
"มึงคิดอะไรไปเองล่ะ ถึงขนลุกแบบนั้น"
"พี่แม่ง" ผมนึกถึงเรื่องที่พี่กัดจูบดูดพี่ซ่าร์อ่ะดิ่
แต่พี่เขาไม่รู้เรื่องหรอกว่าผมรู้
"อย่าพูดมาก เอาเครื่องออกมาเร็ว"
"ครับๆ ดุจริงวุ๊ย!"
Tbc.