บทที่16
“พี่อ้อสวัสดีครับ
มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ คุณภัครทำไมถึง..”
“ทราย!”
ศศิธรอุทานเบา
ๆ เมื่อวารินเปิดประตูเข้ามา เธอมาเฝ้าไข้ภัครจิราตั้งแต่เมื่อเที่ยง
คนตัวเล็กเดินเข้าไปถึงหน้าเตียง เจ้านายเธอยังนอนหลับตาไม่ได้สติ
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
เห็นป้าวันแกบอกว่าเมื่อวาน จู่ ๆได้ยินเสียงคุณภัครกรีดร้อง จากนั้นน้องธารก็อุ้มเธอออกมาจากห้อง
เธอหมดสติตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว นี่พี่ให้แกลงไปพักเดี๋ยวคงจะขึ้นมาแล้วล่ะ
ทรายมาก็ดีเลยเดี๋ยวพี่ขอกลับไปเคลียงานหน่อย หนีออกมาตั้งแต่เที่ยงแล้ว”
วันนาแม่บ้านเดินกลับเข้ามา
ศศิธรจึงคว้าเอากระเป๋าขึ้นสะพายโบกมือให้วารินบอกแล้วค่อยเจอกัน
วารินนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงมองดูใบหน้าที่เหลืองซีดของภัครจิรากับกระปุกน้ำเกลือที่สอดสายไว้ที่หลังมือ
เขาลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่างแง้มผ้าม่านดูด้านนอกเห็นแสงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงแล้ว
รถราเริ่มติดเป็นแนวยาวตลอดทั้งสาย ท้องฟ้าที่กรุงเทพดูไม่ทั่วถึงเลยจริง ๆ
มีอะไรต่อมิอะไรบดบังเต็มไปหมดไม่เหมือนสถานที่ๆเขาเพิ่งจากมาเลยสักนิดถึงแม้จะมีความทรงจำที่เลวร้ายแต่วารินก็ยังจดจำความงดงามของทัศนียภาพของท้องทะเลกว้างใหญ่ได้เสมอ
“คุณธาร
กลับมาแล้วเหรอคะ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงป้าวัน
วารินรีบหันกลับมองทันที ธาราธารยืนชะงักนิ่งอยู่ที่ประตู ในแววตาจดจ้องมาที่ร่างเล็กริมหน้าต่าง
“ใครอนุญาตให้เข้ามาในนี้ได้
” เขาเน้นคำด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบพร้อมก้าวเข้าหา ในแววตามีแต่ความแข็งกร้าวดุดัน โบกมือไล่วันนาให้ออกไปก่อน
ธาราธารยังสวมชุดนักศึกษาคงเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัย
วารินมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ธาร
เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณภัคร..”
“อย่ามาตีหน้าทำตอแหล! ออกไปให้พ้น!!” เขาชี้นิ้วไล่ ตวาดขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำ
วารินก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
“อีตัวร่าน ๆ
โสโครก อย่ามาเหยียบห้องแม่ผมให้เป็นเสนียด ออกไป!! ไป!!!”
วารินแทบทรุด
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรทำไมพูดกับเขาแบบนั้น
ธาราธารล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายคว้าซองสีน้ำตาลฟาดใส่หน้าร่างเล็กอย่างไม่แคร์จะเจ็บหรือไม่
รูปถ่ายตกกระจายเกลื่อนพื้น
“ดูเสียให้เต็มตา
คุณแม่เป็นแบบนี้เพราะใคร! ต้องกลายเป็นอัมพาตเพราะเส้นเลือดในสมองแตก
มันเพราะใครกัน!!”
เขาตวาดลั่น วารินก้มลงหยิบรูปขึ้นมาดู หน้าชาวาบไปหมด ใบหน้าเล็กส่ายอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาเป็นคนทำให้ภัครจิราเป็นแบบนี้ ตัวเขางั้นหรือ? มองไปที่ร่างสีขาวที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่รับรู้เรื่องราว วารินถอยเซ มือยันลงที่เตียง
“อย่ามาแตะต้องแม่ผม!!” เขาตรงเข้ากระชากร่างเล็กเหวี่ยงออกไปอีกด้าน
“โสโครก! หึ ผมโคตร!ขยะแขยงพี่เลยว่ะ ดีใจไหม? ได้นอนกับผัวคนอื่น
ดีใจไหมห๊า!! เขาเป็นพ่อผมนะ! เป็นพ่อของผม!!
ถึงเขาจะไม่ได้เลี้ยงดูผมมาแต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อ!!!”
เขาเดินหน้าเข้าหา
ผลักไหล่เล็กจนกระเด็น วารินกำรูปจนมือสั่น ใบหน้าเล็กชาวาบเข้าไปถึงขั้วหัวใจกัดกินลึกถึงไขกระดูกเมื่อได้เห็นแววตาเย็นชานั้นทอแววรังเกียจกันอย่างชัดเจน
...พูดไม่ออก
เพราะมันเป็นตัวเขาจริงๆ...
“อ้อ! มีเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยนะ
ถ้าอยากจะดูก็เอาไปได้เลย!!” เขาฟาดแผ่นซีดีใส่แบบเน้น ๆ
จนวารินเบือนหน้าหลบแทบไม่ทัน ดวงตาสวยมีหยดน้ำไหลริน
“ไม่ต้องมาร้อง! อย่ามาทำสำออยในนี้ เก็บเอาของเสนียดจัญไรแล้วออกไปได้แล้ว
ไป! ไปเลย!! ออกไป!!!” เขาตวาดลั่นชี้นิ้วไล่เหมือนหมูเหมือนหมา
วารินทรุดฮวบลงที่พื้นร้องไห้โฮ
มือใหญ่เข้ามากระชากคอเสื้อที่ด้านหลังแล้วลากร่างเล็กๆไปเหวี่ยงไว้ที่หน้าประตู
ชี้หน้าอย่างรังเกียจ
“อย่ามาให้ผมหน้าอีก
จำเอาไว้ ถ้ายังอยากอยู่สุขสบายเชิญใช้ชีวิตร่าน ๆ ของพี่ต่อไป ไปให้พ้น!”
เขาปิดประตูใส่หน้าดังปัง! วารินไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกขึ้นยืน
นั่งร้องไห้อย่างหมดอาย สองมือซบใบหน้าสวยที่มีแต่ความชอกช้ำ น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม
เฝ้านึกถึงแววตาของคนที่ตนเองรัก
...แววตาที่ไม่มีเหลือแล้วซึ่งความอาลัย
ห่วงใยเหมือนวันเก่าๆ...
...เขามันโสโครกดั่งที่ว่าจริงๆ...
..ต้องทำอย่างไรจึงจะล้างออกหมด
รอยราคีที่ฝังอยู่กับตัวกับหัวใจ ต้องล้างอย่างไรล้างเท่าไหร่...
ไหล่เล็กสั่นสะท้าน
ค่อยปาดน้ำตาแล้วหยัดกายลุกขึ้น
.
.
“ทราย
เป็นอะไรรึเปล่า”
ภูวดลเคาะเรียกน้องชายที่หน้าประตู
ตั้งแต่กลับมาจากไปเยี่ยมภัครจิรา วารินก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้อง เขาถามอะไรก็ไม่ตอบบอกไม่ให้กวน
ภูวดลรอจนดึกดื่นเห็นว่าวารินยังไม่ยอมลงมากินข้าวจึงขึ้นมาเรียกดูอีกที
วารินเปิดประตูออกมาก้มหน้าก้มตาเดินผ่านไปที่ห้องน้ำ
ภูวดลพอจะเห็นร่องรอยของคราบน้ำตาจึงเดินตามไปดู น้องชายตัวน้อยโผเข้ากอดเอวพี่ชายสุดที่รักเต็มอ้อมแขน
ปล่อยโฮออกมาอย่างกับเด็กๆภูวดลได้แต่ลูบหลังปลอบใจ
เขาคิดไปว่าวารินคงเสียใจเรื่องของภัครจิรา
“อย่าคิดมากเลยนะ
เดี๋ยวทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น”
ภูวดลปล่อยให้คนตัวเล็กร้องไห้จนหลับไปทั้งอย่างนั้น
เขาบรรจงห่มผ้าผืนหนาให้สอดตัวลงนอนข้าง ๆ โอบกอดเอาไว้อย่างเคย
เช้าวันต่อมาวารินเข้าไปที่โรงแรม
พิมพ์จดหมายลาออกแล้วแอบวางไว้ที่โต๊ะของศศิธร
เก็บของใช้ส่วนตัวที่มีอยู่นิดหน่อยแล้วขับรถตรงไปที่โรงพยาบาล
ตั้งใจจะไปกราบลาภัครจิราเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีหน้าจะอยู่ช่วยงานได้อีกต่อไปแล้ว ความผิดของเขามันมากเสียจนเกินอภัย
.
.
“ขอบคุณมากครับคุณลุง
ผมคงต้องรบกวนมากจริง ๆ” ธาราธารยกมือไหว้ภาสกรพี่ชายของภัครจิราหลังจากเกิดเรื่อง
เขาที่บริหารงานโรงแรมอยู่ที่ญี่ปุ่นรีบบินกลับมาดูน้องสาวตัวเองทันที และบอกให้ธาราธารไม่ต้องห่วงเรื่องงานที่โรงแรมเขาจะช่วยดูแลให้อีกแรงจนกว่าทางนี้จะจัดการเรื่องราวต่าง
ๆ ให้ลงตัว
“อย่าคิดมากนะ
ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็ดูแลคุณแม่ให้ดี ๆ สักวันปาฏิหาริย์อาจมีจริง ลุงจะคอยเอาใจช่วย”
เขาบีบไหล่คนหนุ่มอย่างให้กำลังใจก่อนขอตัวกลับไป
ธาราธารรีบตรงไปพบอาหมอที่ดูแลคุณแม่เขาทันที
“พรุ่งนี้คงพาคุณแม่กลับบ้านได้แล้วนะ
อย่างที่อาหมอบอกนั่นแหละ หาคนมาช่วยดูแลจะดีกว่า
ภัครเขาจะช่วยตัวเองไม่ได้เลยพูดง่าย ๆ คือทำอะไรไม่ได้ต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียว
อาอยากให้ธารหาใครสักคนมาคอยดูแล ธารเข้าใจใช่ไหม คนเป็นอัมพาตน่ะ
ให้สัญญาไม่ได้ว่าจะหายดีได้รึเปล่าแต่ถ้าเราหมั่นช่วยดูแลกายภาพอย่างสม่ำเสมอชวนคุยอย่าทำให้เขาคิดมาก
มันก็อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
ธาราธารมองสบดวงตาที่แสนอ่อนโยนหลังแว่นสายตาใสแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เขาตั้งใจว่าจะจ้างพยาบาลมาช่วยดูแลแต่ติดอยู่ที่พยาบาลจะต้องไปและกลับ เขาอยากได้แบบอยู่ประจำค้างคืนกับคุณแม่ของเขาเลยมากกว่า
“ไม่จำเป็นต้องเป็นพยาบาลก็ได้
แค่เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนดูแลคุณแม่ของเราอย่างไม่รังเกียจ อาว่าเท่านั้นก็พอแล้ว”
เขายกมือไหว้อาหมอที่สนิทกับคุณแม่ของเขาแล้วเดินออกมา
พรุ่งนี้เขาจะพาภัครจิรากลับบ้าน
ช่วงแรกคงต้องวานให้ป้าวันแม่บ้านเป็นธุระดูแลคุณแม่ของเขาไปก่อนจนกว่าจะหาคนดีๆไว้ใจได้มาทำแทน
ขายาวๆก้าวไปตามทางเดินขาวสะอาดของโรงพยาบาลชั้นนำ
...สิ่งที่เขาห่วงที่สุดคือเรื่องงานที่โรงแรมของคุณแม่
คุณลุงก็ต้องดูแลที่ญี่ปุ่นเป็นหลัก คงถึงเวลาที่ต้องศึกษางานด้านนี้แล้ว...
.
.
มือเล็กเปิดประตูห้องพักพิเศษเข้าไปด้านใน
ที่เตียงคนไข้ยังมีร่างของคนที่เขาเคารพรักและภักดีเสมอนอนนิ่งอยู่บนนั้น วารินค่อยเดินเข้าไปที่เตียงช้า
ๆ กวาดตามองร่างที่ไม่ขยับไหวติงดวงหน้าที่มีแต่ความซีดเซียว เข่าเล็กทรุดลงที่ข้างเตียงพนมมือก้มกราบลงไปที่ปลายเท้าของผู้หญิงที่มีบุญคุณกับเขามากที่สุด
ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกตอนเขาเริ่มมาฝึกงานกระทั่งได้มาทำงานด้วย
สิบสองปีที่อยู่ด้วยกันมาภัครจิราคือคนที่เขานับถือและเคารพรักมากที่สุด
บุญคุณของเธอให้ทดแทนเท่าไหร่ก็คงไม่มีวันหมด แต่คนที่แสนเลวก็คือตัวเขาเอง
ไม่มีหน้าจะแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นเพราะตัวเขาทำมันลงไปจริง ๆ
“ผมขอโทษครับคุณภัคร
ขอโทษทุกๆอย่าง” เสียงเขาสั่นเครือพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลอาบลงสองแก้ม
ภัครจิรานอนลืมตานิ่ง
หยาดน้ำใสไหลลงที่หางตา มือเล็กของวารินอยากจะเอื้อมไปสัมผัสมือนิ่มนั่นเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็กลัวว่าเธอจะรังเกียจ
ได้แต่ถดตัวถอยหลังออกมา ร่างเล็กค่อยลุกขึ้นช้า ๆ ปาดรอยน้ำตาแล้วหันหลังกลับไป
“เคยบอกแล้วใช่ไหม
ว่าไม่ให้มาที่นี่อีก” วารินตกใจผงะเมื่อพบว่ามีใครยืนอยู่ด้านหลัง ธาราธารก้าวเข้ามาเรื่อย
ๆ ขณะที่อีกคนก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัว
“อย่ามาแตะแม่ผม!” เขาตวาดลั่นเมื่อขาของวารินชนกับเตียง มือเล็กแค่!จับลงที่เบาะเท่านั้น วารินรีบถอยออกไปอีกด้านทันที ร่างสูงใหญ่ปราดเข้ามากระชากแขนแล้วเหวี่ยงออกไปจนร่างเล็กชนโครมเข้ากับผนัง
“พูดไม่ฟังจริงนะ
ท้าทายแบบนี้คงอยากลองดีกับผมใช่ไหม เข้ามานี่!” เขาลากคนตัวเล็กดันเข้าไปในห้องน้ำปิดประตูแล้วกดตัวบอบบางกักไว้ในอ้อมแขน
“คนร่าน ๆ แบบพี่ถ้าจะโดนทั้งพ่อทั้งลูกตอกที่เดียวกันเนี่ยมันคงจะถึงใจใช่ไหม
ในใจคงจะยิ้มร่าเลยล่ะสิ ถ้างั้นมาลองดูกันหน่อยไหม ไม่อยากรู้เหรอ? พ่อกับลูกใครมันจะตอกได้ถึงใจกว่ากัน”
สิ้นคำมือใหญ่ตรงเข้าบีบคางมนจนสุดแรงกดจูบดุนดันลิ้นจาบจ้วงเข้าไปกวาดต้อนดูดดึงเอาให้หนัก
“อื้ออ..” วารินทั้งผลักทั้งทุบ แต่ร่างกายที่ต่างกันมากเกินไปทำให้คนตัวใหญ่ไม่ขยับเลยสักนิด
กลิ่นเลือดฝาดพร่าแปร่งอยู่ในโพรงปากนุ่มวารินเจ็บจนน้ำตาไหลพราก
เขาทั้งดูดทั้งกัด มือที่บีบคางก็ออกแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่อีกมือเข้ากระชากผมนิ่มให้ใบหน้าหวานแหงนหงาย
ลิ้นหยาบคายลากไล้ลงมาที่ลำคอขาว วารินหลับตาอย่างรังเกียจเขาขบดูดจนผิวขาวห้อเลือดขึ้นรอย
มือเล็กจิกลงที่บ่ากว้างอย่างเจ็บปวด
“ปล่อยนะ! พอแล้ว” เสียงเล็กสะอื้นไห้ ร้องขอเขาอย่างเหลือทน
เขายิ่งจิกผมแน่นแล้วรั้งลงเป็นเท่าตัว
“เจ็บ! ธารพี่เจ็บ!!” วารินร้องลั่น เขายังกระชากผมไม่ปล่อย ละใบหน้าออกมาจ้องตาดวงเล็ก
วารินกัดริมฝีปากจนสั่นขณะที่แววตาแข็งกร้าวของอีกคนหรี่ลงอย่างคับแค้นในดวงตามีทั้งแววตัดพ้อและชิงชังปนกันไปหมด
เขาขบกรามจนขึ้นนูนเพื่อข่มอารมณ์ประทุของตนเอง
“บ้านที่อยู่น่ะ
ช่วยย้ายออกไปด้วยนะรู้ใช่ไหมว่ามันเป็นชื่อใคร อย่าให้ต้องเผาไล่”
เขาเน้นทีละคำจนวารินใจหาย หยดน้ำตาไหลรินโดยไม่ต้องกระพริบด้วยซ้ำ
“ม...หมายความว่ายังไง
บ้านไหนกัน บ้านของพี่เหรอ”
“อย่ามาแกล้งโง่!” เขาตวาด
“ไสหัวออกไปก่อนที่ผมจะเผาไล่แล้วมันจะไม่เหลืออะไรอีกเลย
กลับไปได้แล้ว! ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก เราขาดกันแค่นี้!!”
ร่างสูงใหญ่ปล่อยคนตัวเล็กทิ้งแล้วหันหน้าหนีทันที
สิ้นคำว่า ‘เราขาดกันแค่นี้’ น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตาคมกล้านั่น เขากัดริมฝีปากแน่นจนสั่น
คว้าลูกบิดประตูจะเปิดออกมาด้านนอกแต่มือเล็กคว้าแขนเสื้อเชิ้ตเขาเอาไว้แน่น
“ไม่นะ
อย่าไล่กัน บ้านนั่นเป็นของพี่ซีอย่าไล่เรา ขอร้อง”
วารินร่ำไห้เสียงสั่น
แทบจะทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าเขา บ้านหลังเล็กที่เขากับพี่อยู่กันมาตั้งแต่เด็กแต่ภัครจิราช่วยไปไถ่คืนมาให้หลังจากที่พ่อของภูวดลเสีย
“หึ!
บ้านของพี่ซีอย่างนั้นหรือ” เขาเหยียดริมฝีปากแกล้งทวนคำพูดวารินแล้วเข้าไปกระชากแขนดันจนแผ่นหลังบางชิดติดผนัง
“บ้านนั้นมันเป็นชื่อของผมต่างหาก!
ผมมีสิทธิ์ที่จะให้ใครอยู่หรือไปก็ได้ จะเผาทิ้งเสียวันนี้ก็ยังได้เลย!”
วารินทรุดลงกับพื้นทันที ส่ายหน้าอย่างยอมรับไม่ได้
“ขอร้องธาร
พี่ขอร้อง จะให้ทำอะไรพี่ยอมทุกอย่างขออย่างเดียวอย่าไล่กัน อย่าไล่เรา
อย่าไล่พี่ซี พี่ซีไม่รู้เรื่อง” ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาส่งเสียงสะอื้นร้องขอเขาอยู่แทบเท้า ธาราธารถอยออกอย่างรังเกียจ หัวใจแหลกลาญไปกับภาพของคนตัวเล็กตรงหน้า
“กลับไปบอกพี่ชายพี่
แล้วเก็บเสื้อผ้ามาอยู่ที่บ้านกับผม คนร่าน ๆ อย่างพี่มันต้องมาอยู่กับคนอย่างผม
พี่ต้องมารับใช้คุณแม่ผมไถ่โทษให้ตัวเอง ถ้าแม่ผมไม่หายพี่เองอย่าหวังว่าจะได้ออกไปเสวยสุขกับไอ้หน้าไหนทั้งนั้น!”
เขาก้มลงไปบีบแขนเล็กจนขึ้นรอยแดง โน้มใบหน้าเข้าใกล้พูดตอกย้ำถึงความร่านของอีกคน
วารินนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“แลกกับบ้านหลังนั้น
เข้ามาอยู่กับผมในฐานะ ‘คนรับใช้’ เป็นที่รองมือรองตีนผมทุกอย่าง ทำได้ไหมล่ะ” เขาเน้นเสียงทุกคำทั้งประโยค
วารินกัดปากจนห้อเลือดมือน้อยกำแน่นจนสั่น
เขายื่นมือเข้ามาเชยคางมนขึ้นแล้วบีบแน่น ตาดวงน้อยสั่นไหวด้วยความกลัว
“พอถึงตอนกลางคืนก็กลายเป็นอีตัวให้ผมระบายอารมณ์
หึ! ถึงจะน่ารังเกียจไปหน่อยเกรดเดียวกันกับกะหรี่ตามซ่องแต่ก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อ
แบบนี้ดีไหมชอบไม่ใช่เหรอนอนอ้าขาให้คนเขาตอก!น่ะ”
วารินเบิกตากว้างถดตัวถอยหลัง
มือเล็กผลักเขาออกด้วยความหวาดกลัว เขากระชากคอเสื้อคนตัวเล็กขึ้นแล้วลากออกไปด้านนอกเหวี่ยงโครมลงบนโซฟา
“ออกไปได้แล้ว!
อย่ามาให้เห็นหน้าอีก” เขาเปิดประตูออกจนสุด ใช้สายตาไล่อีกคนทางอ้อม
...สายตาที่มีแต่ความเย็นชา
ไม่หลงเหลือแล้วร่องรอยของคนเคยรักกัน...
.
.
“ทำไมต้องทำอย่างนั้น
ทรายไม่จำเป็นต้อง...”
“ให้ทรายไปเถอะครับ
อย่างน้อยให้ทรายได้ตอบแทนบุญคุณที่คุณภัครท่านมีกับเราสองพี่น้อง”
วารินก้มหน้าหลบสายตา
พับเสื้อผ้าลงในกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ไม่กล้าที่จะมองดูหน้าพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำ
ทุกอย่างเป็นเพราะเขา เพราะตัวเขาคนเดียวภูวดลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย เขาจะต้องปกป้องบ้านหลังนี้ไว้ให้ได้แม้ต้องแลกกับอะไรก็ตาม
เพื่อพี่ซีพี่ชายที่เขารักมากที่สุด
...แม้แต่ชีวิตเขาก็ให้ได้...
“ทราย มันจำเป็นขนาดที่ทรายต้อง...”
ภูวดลหมดความอดทนเขานั่งลงข้าง ๆ แล้วจับไหล่บางให้หันเขาหาตัว
น้องชายเขากำลังร้องไห้ ดวงตาแดงช้ำจนบวมเป่ง
“พี่ซีอยู่คนเดียวอย่าลืมทานข้าวให้ตรงเวลานะครับ
อย่าวาดรูปดึกจนเลยเวลานอน ตื่นนอนตอนเช้าพี่ซีอย่าลืมดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้วเสมอ
ซักผ้าเสร็จแล้วต้องเอาออกตากนะ ล้างจานคนเดียวได้ใช่ไหม
ดูโทรทัศน์ตอนกลางคืนต้องปิดให้เรียบร้อย รีโมทเอาไว้เป็นที่ เวลานอนต้องห่มผ้าหนา
ๆ อย่าเปิดแอร์แรงนะเดี๋ยวจะไม่สบาย พี่ซีกอดหมอนข้างแทนทรายไปนะ หมอนข้างอันใหญ่ของทรายๆยกให้พี่ซีเลย
ห้ามซักนะครับเพราะมันจะมีกลิ่นของทรายเสมอพี่ซีจะได้..ฮึกก..ไม่ลืมน้องชายคนนี้”
แก้มแดงช้ำมีน้ำตาไหลพรากลงเป็นทาง
ภูวดลดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้แน่น เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมวารินต้องทำขนาดนั้น
...ทำไมต้องไป..
“ทรายจะแวะมาหาบ่อย
ๆ ทราย...ทรายรักพี่ซีนะครับ”
วารินสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น
เขารู้ภูวดลคงเหงามากถ้าเขาไม่อยู่ เขากับพี่ไม่เคยแยกจากกันนาน ๆ
ภูวดลมีเขาอยู่ข้าง ๆ เสมอ เช่นกัน
เขาเองก็มีภูวดลเป็นดั่งที่พักพิงอยู่เคียงข้างกันมาตลอด
...ดั่งทรายกับทะเล
ไม่มีวันแยกจาก...
ปากเล็กๆพึมพำเพลงโปรดของเขาและพี่ชาย
“...คือผืนทรายที่โอบทะเลไว้จะวันใดมั่นคงเหมือนดังที่เป็น
อยู่เคียงข้างเธอใจไม่ไหวเอนและยังคงชัดเจนอย่างนั้น หาดทรายยังสวยรายล้อมทะเลด้วยรักคงไว้ด้วยใจแน่นหนักไม่หวั่นยามพายุผ่าน
จะมีเพียงฉันและเธอตราบนานเท่านานมีรักมีใจผสาน ดั่งทรายอยู่คู่ทะเล.....”
ภูวดลหัวใจหล่นวูบ
วารินสะอื้นหนักจนร้องต่อไปไม่ได้เขาได้แต่กอดร่างเล็กๆที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“ทราย..ให้สัญญาครับว่าทรายจะกลับมา..จะกลับมาอยู่กับพี่ซี.............................................ทรายรักพี่ซีที่สุดในชีวิต”
น้ำตาไหลรินจากดวงตาแข็งแกร่งหัวใจเขายิ่งกว่าถูกฉีกแยก
ประคองสองแก้มนิ่มด้วยสองมือ จ้องลึกลงในดวงตา กดจูบลงที่มุมปากสวยแช่อยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหนดั่งแทนคำสัญญาว่าชีวิตนี้เขาจะมีแค่วารินคนเดียว
“พี่ซีก็รักทรายที่สุดในชีวิตเหมือนกันครับ”
.
.
Tbc.