บทที่ 40 จากพี่เอย์ถึงผม จากผมถึงพี่เอย์
....ช่วงสองสามเดือนมานี้พี่ซ่าร์มาที่ออฟฟิศบ่อยมาก....
“กูไม่เข้าใจ
ทำไมถึงชอบแลบลิ้นนักวะ”
“ยั่วมึงไง”
“เดี๊ยะเหอะ
กูจะกัดลิ้นมึงให้กุดเข้าสักวัน”
“ไอ้เหี้ย! ใจร้าย”
“ขยับออกไปดิ๊
อึดอัด!”
....พี่เชนเองก็ดูแปลกไป....
“มึงก็กินก่อนดิ
กูชงให้มึงตั้งนานแล้วเนี่ย มีแก่ใจจะกินบ้างไหม”
“กูบอกเหรอว่าหิว”
“แล้วใครล่ะนั่งตาบวมเป็นแพนด้า
หน้าก็เครียดขึงอย่างกับไข่ ไม่ให้คิดว่ามึงง่วงแล้วให้กูคิดยังไง
ชงกาแฟให้ยังจะมาว่าอีก”
“พูดมาก”
“พูดกับมึงหรอก”
....สองคนนี้มักจะต่อปากต่อคำคล้ายคนกำลังทะเลาะกันอยู่
แต่จริง ๆ แล้วคือ....ไม่ใช่.....
“เมื่อไหร่จะกลับ
รำคาญ กูจะทำงาน”
“กูหายไปเมื่อไหร่
แสดงว่ากลับ”
“มานั่งจ้องกูอยู่ได้
คนจะทำงานไม่ใช่รูปปั้นเทพบุตรจะได้ให้มึงมานั่งจ้องไม่สึกไม่หรอ”
“กล้าพูดนะคเชนทร์
รูปปั้นเทพบุตรงั้นเหรอ??”
“รีบ ๆ กลับไปเลย
ไปถ่ายหนังถ่ายละครอะไรของมึงนั่นเลยไป”
“โกรธกูจริงดิ่”
“ไม่ได้โกรธ”
“แล้วประชดทำไม”
“กูไม่อยากเห็นหน้ามึง”
“จะโกรธไรเนี่ย
ก็บอกแล้วว่ามันเป็นแค่งาน วันนั้นที่ถ่ายทำฉากนี้ กูโทรมาบอกมึงแล้วด้วยนะ
มึงยังบอกไม่สนใจ พองานออกมาแล้วพาลมางอนกูอยู่เนี่ย”
“มึงหุบปากนะ!”
...พี่ผม....พูดมากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
แสดงท่าทางเอาแต่ใจกับพี่ซ่าร์อย่างที่ผมไม่เคยเห็นพี่เขาทำกับใครมาก่อน...
“ไม่หุบ! เพราะมึงงอนกู
โกรธกู มึงไม่เข้าใจกู แม่งง้อเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย เข้าใจกันบ้างดิวะ”
“กูไม่อยากจะเข้าใจหรอก กับคนที่ปากก็เอาแต่บอกว่าชอบกูแต่กลับไปทำแบบนั้นกับใครก็ได้โดยไม่คิดเหี้ยไรเลย”
“ก็มันเป็นงาน
บทเลิฟซีนมันก็ธรรมดา เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายของกูแล้วด้วย ก่อนจะออกจากวงการแบบถาวร
กูขอทิ้งทวนคาสโนว่าแบบเท่ๆหน่อยดิวะ”
“เรื่องของมึง”
....ว่ากันว่า
คนเรามักแสดงออกว่าเอาแต่ใจต่อหน้าคนที่สำคัญกับเราเท่านั้น....
“ซีซ่าร์ขยับไป”
“มึงกินกาแฟแก้วนี้ก่อนดิ”
“น่ารำคาญ” แต่พี่เขายกซดนะรวดเดียววาง
เสียงแก้วกระทบโต๊ะอย่างดัง
“อร่อยป่ะ”
“จืดยิ่งกว่าน้ำเปล่า”
“คึ แต่อย่างน้อยมึงก็กิน”
“ไม่ได้อยากกินเลยสักนิด”
“จริงดิ
งั้นคายออกมา”
“ถุย” พี่เชนทำเสียงถุยก็จริงนะแต่ไม่ได้ถุยอะไรออกมาหรอก
พี่แกเอานิ้วชี้ยัดเข้าไปในปากพี่ซ่าร์แทน ผมโคตรของความเขินสองคนนี้แม่งเล่นไรกัน
“ไอ้.....!”
“ทำไม?
อยากตบกูเหรอ” คนถามส่งสายตาท้าทาย
“ไอ้อ้าาา....”
เสียงพี่ซ่าร์อื้ออ้าเพราะมีนิ้วแข็งแกร่งของพี่เชนยัดอยู่ในปาก
ขณะที่คนทำยกยิ้มร้าย ยั่วโมโห ถอนปลายนิ้วออกมาแล้วจับสองแขนเล็กบีบแน่น
“ให้ตบเอาไหม
แต่ขอแรง ๆ นะ” น้ำเสียงหยั่งลึกท้าทาย สายตาของพี่เชนดูราวกับคมมีด
ที่กำลังขยับเชือดเฉือนไปทั่วทุกส่วนของร่างกายคนฟัง ผมขนลุกไปทั้งตัวคือพี่เชนในโหมดแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมเห็น
“จัดให้กูสักทีสิ”
ผั๊วะ!!
แอร๊~ ~ สมใจ...ฝ่ามือที่หลุดจากพันธนาการได้ประเคนเข้าเต็มๆที่กลางหลัง
ผมกัดปากพยายามกลั้นหัวเราะ อิโถถถถถถ
อยากเล่นกับเขาแต่เล่นไม่เป็นไปยั่วเขาจนเจอฝ่ามือเข้าแบบนั้นดีนะไม่โดนเข้าที่แก้ม
พนันกันได้เลยถ้าถอดเสื้อออกรับรองว่ารอยฝ่ามือเมื่อตะกี้ยังหลงเหลือแดงเถือกอยู่แน่
ๆ
“เหี้ย! มือหนักฉิบ”
“มึงท้ากูเอง”
พี่เชนมองพี่ซ่าร์ตาเขียว
อีกฝ่ายดูเหมือนพออกพอใจ แต่สำหรับพี่ผมแล้ว...ยิ่งเห็นแบบนั้นยิ่งหน้าบูดมาก
เขียนโปรแกรมที่ว่ายากสุดหินพี่แกยังไม่ออกออร่าอารมณ์บูดอารมณ์เสียได้เท่ากับครั้งนี้มาก่อน พี่เขาเบนสายตามองมาที่ผมแวปหนึ่งหรือว่าเพิ่งนึกได้ว่ามีผมซึ่งเป็นบุคคลที่สามนั่งโทนโท่อยู่ตรงนี้ด้วย
จะว่าเผือกก็เผือกล่ะวะ คนมันอยากรู้อยากเห็นนี่
ผมสะดุ้งนิดๆ รีบหันกลับมาสนใจที่หน้าจอของตัวเองลืมไปเลยว่าทำท่าใส่หูฟังเพลงอยู่
ตายๆความแตกแหงๆว่าผมแอบฟัง ช่วยไม่ได้นี่อยากมานั่งเถียงกันข้างโต๊ะผมทำไม
ไอ้อาการอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาสองคนยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ก็ช่วงสองสามเดือนมานี้พี่ซ่าร์มาหาพี่เชนตลอด ก่อนหน้านั้นก็ยังเคยทิ้งเสื้อผ้าเปียกๆไว้ในห้องน้ำ
ผมนี่แหละที่เป็นคนซักให้แล้วพี่เชนยังบอกไม่ต้องเอาไปคืน ไม่กี่วันหลังจากนั้นเสื้อผ้าชุดนั้นก็หายไปและมีตัวใหม่มาแทนที่
สรุปว่ายังไงอะไรแบบไหน?? แต่พี่ซ่าร์มาที่นี่ทีไรคือจะต้องทิ้งเสื้อผ้าไว้??
แล้วใส่อะไรกลับ? แล้วใส่อะไรนอน? แล้วมาเอาคืนตอนไหน? มีแต่ปริศนาดำมืดเต็มไปหมด
....ปริศนาระหว่างสองคนนี้
ยิ่งค้นก็ยิ่งลึก.....
....ความสัมพันธ์นั้น....
“ขยับไป ๆ
จะทำงานอย่ามากวนนะซีซ่าร์” คราวนี้เสียงพี่เชนจริงจังมาก
หันมาจ้องหน้าพี่ซ่าร์แบบตรง ๆ เลย ตายห่าเป็นผมนี่รีบถอยแน่ ๆ ดูดิ๊พี่ซ่าร์จะทำยังไง
“จิ๊! ไม่พูดกับมึงแล้วก็ได้”
เออ แล้วหลังจากนั้นใครล่ะจะตกเป็นเป้าหมายใหม่ของพี่แก
ก็ผมนี่สิครับ พี่ซ่าร์หันมาที่ผมในทันทีเลื่อนเก้าอี้เข้ามาหาแล้วสะกิด
ผมแสร้งทำท่าขยับเฮดโฟนอันใหญ่ที่ครอบหูออกข้างหนึ่ง ทำท่าประมาณว่าอะไรครับ
พี่มีอะไรเหรอ?? หน้าตาผมดูซื่อๆอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาหรอก เห็นพี่เชนแอบยิ้มนิดๆท่าทางจะรู้ว่าผมแอบฟังตั้งแต่หันมาป๊ะสายตากับผมตอนก่อนหน้านั้นแล้ว
“ครับ??”
“ปิงฟังอยู่ใช่ไหม
เมื่อกี้”
“ห๊ะ!!??” ผมตกใจแทบช๊อค รู้สึกว่าหน้าตัวเองซีดลง
เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วโดนจับได้
“รู้น่าว่าฟังอยู่”
“แห่ะๆ
ก็เสียงพวกพี่มันเบาที่ไหนกันล่ะครับ” ผมทำหน้าแบบยอมจำนน
“พี่ชายเราอ่ะแย่
งอนพี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเนี่ย โทรมาก็ไม่ยอมรับสาย
วันนี้พี่มาง้อด้วยตัวเองยังไม่เลิกงอนเลย”
“แล้ว...พี่เชนงอนอะไรพี่อ่ะครับ
ผมถามได้ไหม”
“ก็เนี่ย
คลิปเนี๊ยะ....”
พี่เขาหยิบมือถือขึ้นมายื่นส่งให้ดู
คลิปสามนาทีกว่า ๆ เบดซีนประเด็นฮอตของซีซ่าร์ซุปเปอร์สตาร์ดังที่กำลังจะอำลาวงการบันเทิงกับละครทิ้งทวนเรื่องสุดท้าย
ข่าวร้อนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
ทั้งข้อความทางเน็ต ทางทีวีตีข่าวกันกระจุย
ผมดูเสร็จทำหน้าไม่ถูก
ความจริง เห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก็ผมนี่แหละที่เป็นคนเรียกพี่เชนให้มานั่งดูด้วยกัน
เมื่อคืนผมค้างที่นี่ พี่เอย์มันก็มาปูที่นอนๆอยู่แถว ๆ
นี้แหละพอละครออนแอร์คุณชายเขาก็นั่งดู สักพักเรียกผม ผมเลยเรียกพี่เชนอีกทอด
สรุปเราสามคนนั่งดูทีวีด้วยกัน สุดท้ายพี่เชนหน้าบอกบุญไม่รับฟาดงวงฟาดงาหาเรื่องพาลไปทั่ว
เกือบๆจะวางมวยกับพี่เอย์ตั้งหลายครั้งเพราะโดนคุณชายมันรู้ทันแซะตลอด
พี่เชนไม่ยอมหลับยอมนอนนั่งเขียนโปรแกรมยันเช้าใครโทรมาก็ไม่รับ
นั่งตาค้างเป็นหมีแพนด้า พอผมเข้าไปถาม
“พี่เชน พี่หึงพี่ซ่าร์เหรอ?”
“ตลกแล้วมึง กูจะหึงมันทำไม
มันจะไปจูบไปอุ้มไปขึ้นเตียงเห้อะไรกับใครไม่เกี่ยวกับกูสักนิด”
“แล้วพี่อารมณ์เสียทำไม?”
“กูร้อนไง ร้อนแม่งร้อนโคตรๆเลย อากาศเมืองไทยเดี๋ยวนี้ชักไม่ไหว
พรุ่งนี้กูจะซื้อต้นไม้มาลงเพิ่มอีก”
ผมแอบเบะปาก แหม่ร้อน?
พูดมาได้ ร้อนรุ่มในใจล่ะสิไม่ว่า คือน้ำเสียงพี่ท่านรอดไรฟันมาก
พูดแบบไม่สบอารมณ์สุด ๆ ผมรู้ดิ ก็อิพี่เอย์แม่งเมื่อก่อนปากหนักแบบนี้เหมือนกันไม่มีผิด
“เชน
เที่ยงนี้มึงจะกินมาม่าผัดหรือมาม่าต้ม” พี่ซ่าร์ตะโกนถามออกมาจากในครัว
“ไม่กิน”
“อะไรนะ
ผัดมาม่าเหรอ”
“บอกว่าไม่กินไง”
“อ๋อผัดมาม่า
แล้วปิงล่ะ เหมือนกันได้ไหม พี่ผัดพร้อมกันเลย”
“พี่ซ่าร์ครับ
เดี๋ยวพี่เอย์เข้ามารับผม”
“อ้าวเหรอ โอเค
งั้นผัดมาม่าแค่สองที่ เฉพาะของพี่กับคเชนทร์ เอาแบบเผ็ดๆละกันรสจัดแซ่บๆ”
“พอเลยมึงเดี๋ยวครัวกูพัง
ไปนั่งรอไปเดี๋ยวกูทำเอง” พี่เชนเดินหน้ายักษ์เข้าไปหาทันทีที่ได้ยินว่าอีกคนกำลังจะลงมือทำ
ผมเห็นนะตอนพี่ซ่าร์จะเดินออกมามีเขินนิดๆด้วยเพราะพี่เชนใช้แขนรั้งตัวเอาไว้
ก่อนกระตุกสายผ้ากันเปื้อนที่พี่เขาใส่อยู่แล้วถอดออกมาใส่ไว้ที่ตัวเองแทน
พี่ซ่าร์หน้าแดงก้มงุดเลยกัดปากจนเลือกห้อไปหมดแล้วมั้งนั่น
“คเชนทร์ มึงนี่มันช่างเป็นคนบาปจริงๆนะ”
“พูดอะไร?” พี่เชนผูกผ้าเสร็จกำลังหยิบซองมาม่าออกมาจัดการฉีก
พี่ซ่าร์เดินอ้อมจากโต๊ะอีกฝั่งเข้าไปหาทางด้านหลังเอนหัวพิงเข้ากับไหล่กว้าง
ผมหน้าร้อนผ่าวนี่เป็นคนแอบดูแท้ ๆ ยังเขินแทนขนาดนี้
“ไม่สนใจกันแท้ๆแต่กลับทำดีด้วย
เย็นชาจนกูคิดว่าจะถอดใจแล้วตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายมึงก็กลับมาทำดีกับกูอีก แบบนี้กูก็หวั่นไหวอีกจนได้”
“.......” พี่เชนยืนนิ่ง
ปล่อยอีกคนซบอยู่แบบนั้น อิโถวววววว วิชั่นผ่านหน้าจอเครื่องคอมแบบเอนๆนี่มันขัดใจผมเป็นบ้าเลย
ขอหันไปดูเลยเหอะ ทำท่าเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางบัง
“ผู้ชายใจร้าย
ทำแบบนี้มีแต่จะยิ่งทำให้ชอบขึ้นไปอีก”
“กูเคยบอกไปแล้ว
กูไม่ใช่คนใจดี”
“ใจดีสิ
ทั้งเย็นชาแต่ก็ยังใจดี มึงมันน่าโมโหจริงๆ”
“ใครกันแน่ที่น่าโมโห
กวนกูตลอด เดี๋ยวพูดโน่นพูดนี่ น่ารำคาญไม่ใช่หรือไงมึงน่ะ ไปนั่งรอไปเดี๋ยวเสร็จแล้วจะเรียก”
ผมค่อย ๆ
โผล่หัวออกจากหนังสือพิมพ์เห็นพี่ซ่าร์เดินไปล้างมือจากนั้นออกมานั่งอยู่ใกล้ ๆ
กับผม หน้าพี่เขายังแดงอยู่เลยนะ ผมนึกบางอย่างขึ้นได้
วันก่อนพี่เอย์คุยเรื่องน้องอันวาให้ฟัง
เห็นว่าคุณนานะคู่กรณีเก่าของพี่เอย์จะพาน้องกลับมาให้พี่ซ่าร์เลี้ยงเพราะเธอกำลังจะแต่งงานใหม่
“พี่ซ่าร์ครับแล้วน้องอันวาจะมาเมื่อไหร่อ่ะพี่”
“อ๋อเดือนหน้าน่ะ
เดี๋ยวนานะจะโทรมาบอกวันที่แน่นอนอีกทีตอนนี้เห็นว่าจัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ อยู่”
“แล้วน้องจะเข้าเรียนชั้นไหนอ่ะครับ”
“มาต่อเกรดสองที่เมืองไทย
เดี๋ยวจะดูโรงเรียนให้อีกทีก่อน แต่ก็มีในใจอยู่แล้วล่ะนะ เชนเขาช่วยแนะนำให้ พี่เองก็ค่อนข้างชอบ”
“จริงดิพี่!?” ผมตกใจนิดๆ กระซิบถามแบบไม่อยากเชื่อ
พี่ซ่าร์พยักหน้าบอกใช่ๆ
ไม่นึกมาก่อนคนอย่างพี่เชนจะรู้จักโรงเรียนเด็กๆกับเขาด้วย
ไม่นานนักอาหารก็เสร็จ
พี่เชนปากบอกไม่กินๆ ทำท่าเหมือนไม่อยากทำแต่เชื่อไหมครับอาหารที่ออกมาตกแต่งสวยงามมาก
ท่าทางจะอร่อยด้วย นี่ถ้าไม่นัดกับพี่เอย์ไว้ก่อนผมต้องมีวาสนาได้กินด้วยแน่ๆ ผมนั่งมองอาหารสองจานตาละห้อย
“อ่ะนี่ จานนี้ของมึง”
“เฮ้ย!” ผมตาโตมาก ดีใจที่สุด พี่เชนเลื่อนจานผัดมาม่าอีกจานส่งให้
จานเล็กๆนะไม่ใหญ่มากมีสาหร่ายโรยหน้า ของโปรดของผม นั่นก็แสดงว่าพี่เขาทำเผื่อผมด้วย
“กันไว้เผื่อหิว
กว่ามันจะมารับมึงเหอะ”
“ขอบคุณงับ พี่เชนใจดีที่ฉุด”
ผมยิ้มกว้างแกล้งทำเสียงวิบัติเล็กๆ
“รีบๆกินเข้าไปไม่ต้องมายิ้ม
กระแดะนักนะมึง” โดนโบกหัวกลับมาจนหน้าเงิบ พี่ซ่าร์หัวเราะผมใหญ่ ผมคีบสาหร่ายให้พี่ซ่าร์ลองชิมด้วยพี่เขาพยักหน้าบอกชอบๆ
เราสามคนทานอาหารกันเสร็จ
ผมเคลียร์งานต่ออีกหน่อย ลุกเดินออกมายืดเส้นยืดสายในครัวเพราะเห็นพี่ซ่าร์กำลังผ่าแตงโมอยู่ แอบหยิบชิมเจอตีมือเข้าอย่างจังเจ็บเลยดิ
พี่ซ่าร์แม่งสวยแต่ดุว่ะ
“ล้างมือยัง
ไปล้างก่อนเลย”
“คราบๆ”
“ปิง
มานี่ดิ๊” เสียงพี่เชนเรียกมา ผมโยนขวดน้ำพลาสติกที่กินหมดลงถังแล้วเดินกลับไปหา
พี่เขายื่นแฟ้มงานส่งให้
“หัวข้อนี้ทำสรุปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
ผมมองหน้าพี่เชนใกล้
ๆ แล้วพาลนึกไปถึงเรื่องสอดนิ้วชี้ยัดเข้าปากพี่ซ่าร์อีก คือตรงๆเลยนะผมเขินมากอ่ะ
ไม่ใช่ว่าพี่เอย์ไม่เคยทำ แต่เวลาที่เราจะทำแบบนั้นมันต้องส่วนตัวไม่ใช่หรือไง
แบบปิดไฟมืดๆแล้วทำเรื่องอย่างว่า
แต่อันนี้อะไรนั่งคุยกันอยู่ยังสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
“มึงหน้าแดงทำไม
ไม่สบายรึเปล่า”
“ปะ....เปล่าพี่
ผมร้อนมั้งเมื่อกี้กินแตงโมสีแดงหน้าเลยแดงไง” ผมแก้ตัว หน้าร้อนผ่าวไปหมด ตายๆ
เกิดพี่เชนจับได้ว่าผมแอบดูผมตายแน่
“อะไรคือกินแตงโมสีแดงแล้วหน้าแดง? มึงบ้าเหรอ ไปล้างหน้าล้างตาไป ทำงานมากจนเบลอแล้วดิ่
แล้วก็อย่าลืมเรื่องงานที่บอกไปเมื่อกี้ด้วยนะ”
“ครับๆเสร็จแล้วครับ
ผมส่งเข้าเครื่องพี่แล้ว เดี๋ยวรอแค่ปริ๊นออกมา”
“ตรวจทานให้ดีอย่าให้มีจุดผิดพลาดนะ”
“ครับพี่เชน”
งานของอัศวคอนสตรัคชั่นมีกำหนดส่งมอบพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย
ผม พี่เชนและพี่พิมเราต้องไปส่งงานกับท่านประธานก็คือคุณรันในวันพรุ่งนี้ จริง ๆ
แล้วสัญญาของยูเซย์กับทางอัศวมีกำหนดปีต่อไป
และภายในปีนี้ทางเราดูแลให้ตลอดแต่ช่วงสามเดือนแรกผมกับพี่เชนไปอยู่ประจำดูแลระบบให้แบบใกล้ชิด
เพราะงั้นนับจากวันพรุ่งนี้ไปทางยูเซย์ไม่มีความจำเป็นต้องเข้างานที่บริษัทนั้นอีก
“มันจะมารับมึงกี่โมง”
“เที่ยงครึ่งครับ
พี่เอย์ออกจากอัมพวามาแล้ว เดี๋ยวอีกสักไม่เกินชั่วโมงคงจะมาถึง”
จริง ๆ
วันนี้วันอาทิตย์เราหยุดกันทั้งหมดแต่ช่วงนี้พี่เอย์คุยงานกับเพื่อนบ่อยมากเรื่องออกมาหุ้นทำบริษัทรับเหมาก่อสร้างด้วยกัน
อย่างวันนี้ก็ไปสมุทรสงครามแต่เช้า เมื่อกี้โทรเข้ามาบอกว่าออกมาแล้วเดี๋ยวจะเข้ามารับผมไปเลือกของแต่งบ้านกัน
บ้านพี่เขาภายนอกเสร็จหมดแล้วนะคงเหลือแต่งานตกแต่ง
“แล้วเย็นนี้มึงจะเข้ามาอีกไหม”
“ไม่อ่ะครับ
พรุ่งนี้เจอกันที่อัศวคอนเลย ผมจะเข้าไปพร้อมพี่เอย์นะ”
“โอเค ได้”
ที่จริงแล้ว...พรุ่งนี้เป็นวันที่สำคัญกับผมมาก
ทั้งงานส่งมอบที่ต้องเจอกับคุณแม่พี่เอย์อีกครั้ง ทั้งเรื่องที่พี่เอย์นัดคุยกับคุณแม่ของมันเรื่องขอแยกตัวออกมา
และสุดท้ายก็คือ เรานัดกันไว้ว่าจะบอกแม่ของผมกับพี่ขมให้รับรู้เรื่องของเราด้วย
ปิ้น เสียงแตรรถจากด้านนอกดังมาหนึ่งครั้ง
ผมรู้ทันทีพี่เอย์มาถึงแล้ว ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำคุณชายก็ผลักประตูแล้วเดินเข้ามา
“กินข้าวรึยัง?”
มันตรงมาที่ผม ก้มลงแล้วกระซิบถามเบา ๆ ผมส่ายหน้าบอกยัง
“หิวไหม”มันถามต่ออีก
ปลายจมูกโด่งๆจะชนเข้ากับแก้มผมอยู่แล้ว ผมขยับออกนิดๆ
“ไม่ครับ”
“แล้วพี่กินยัง”
“ยังเลยแต่ไม่ค่อยหิวหรอก”
มือใหญ่ยีลงที่หัวผม
“เอย์มากินแตงโมเร็ว”
เสียงพี่ซ่าร์เรียกออกมาจากด้านใน เราทั้งหมดหันไปมอง ที่แท้พี่ซ่าร์ปาดแตงโมไว้ให้พี่เอย์นี่เอง
พอมันเดินเข้ามาปุ๊ปพี่ชายที่แสนดีก็เปิดตู้เย็นหยิบจานแตงโมออกมาเลย
ผมกับพี่เชนนั่งหัวโด่ตั้งนาน ขนาดไปแอบหยิบชิมยังโดนตีมือเลยเหอะ
พี่เอย์กำลังจะเดินเข้าไปหาแต่เหมือนนึกบางอย่างได้
มันล้วงกระเป๋าควักอะไรสักอย่างออกมา
“เอาไป”
กล่องลูกอมสีฟ้า ๆ ถูกโยนส่งให้พี่เชนแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เกือบจะถูกหัว
ดีนะพี่เชนตาไวคว้าเอาไว้ได้ทัน เฉียดฉิวมาก
“เหี้ย
มึงส่งให้กูดีๆไม่เป็นรึไง”
สองคนนี้เจอกันทีไรกัดกันตลอดผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ
รู้แต่ว่าผมลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงมาด้านใน นั่งลงข้าง ๆ
พี่ซ่าร์จิ้มแตงโมกินไปด้วยดูทีวีไปด้วย
เสียงสองคนนั้นยังต่อปากต่อคำกันอยู่ไม่หยุด
“ทำไมต้องส่งให้มึงแบบดี
ๆ ต้องให้กูคุกเข่าถวายให้มึงงั้นดิ จิ๊ เสียเวลาต้องจอดรถแวะซื้อไอ้ลูกอมบ้าบอไรเนี่ย”
“กูบอกให้มึงซื้อมารึไง
ตอนไหน”
“หน้าปากซอยก็มีไม่รู้จักเดินออกไปซื้อเอง”
“กูก็บอกอยู่นี่ไงว่าไม่ได้บอกให้มึงซื้อมา”
“นั่งสบายอยู่คนเดียว
ทำให้คนอื่นต้องลำบาก ถ้าหมาปิงไม่โทรบอกมึงคิดว่ากูจะซื้อไหม”
“เออกูเปลี่ยนใจแล้ว
ทำไมล่ะ กูอยากให้มึงซื้อมาให้นี่ไง กูอยากจะทำให้มึงลำบาก
ยิ่งมึงหาที่จอดเพื่อลงซื้อยากเท่าไหร่กูยิ่งดีใจ ฮ่าๆๆๆๆ”
ฟิ้วววว ~
“เฮ้ยๆๆๆๆ
อย่านะมึงอันนั้นแพง อย่าเล่นไม่รู้เรื่องนะ เย้ยยย!!!!”
กราวววววววววว
~ ~
ตะกร้าแมวเหมียวอันเล็กๆที่บรรจุแฟลชไดร์ฟนับร้อยถูกพี่เอย์มันหยิบขึ้นมาแล้วขว้างใส่พี่เชน
ดูเหมือนว่าจะรับทันนะแต่พี่เชนพลาดไปเลยทำให้แฟลชไดร์ฟร่วงกรูลงที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้
พี่เชนหน้าหราไปเลย
“กูไม่สน”
“อ้าวพูดแบบนี้เดี๋ยวสวย”
“จิ๊” พี่เอย์ทำตัวเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สา
มันยืนกอดอกพิงโต๊ะ ยังรักษามาดคุณชายไว้ ขณะที่พี่ผมสิหน้างอคลานเก็บของอยู่ที่พื้นแล้ว
“มาช่วยกูเก็บดิ๊
ยืนมองอยู่ได้มึงทำนะ ปามาได้เนี่ย ถ้ามีอันไหนหายไปนะกูโทษมึงเลย”
“โทษตัวเองสิ
มึงรับไม่ทันเอง มาโทษกูได้ไง”
“มึงนี่มัน....ชิ
ภาวนาให้กูเก็บให้ครบทุกอันเถอะมีของแฟนมึงทำอยู่มากกว่าครึ่งบอกให้รู้ถ้าหายขึ้นมาปิงมันต้องนั่งทำใหม่นะ
รู้ยัง?”
“ไม่เอา! มึงแหละทำแทนมันไปสิ”
“อย่ามาพูดมากเก็บช่วยกูเร็วเข้า”
“ไม่เอากูรีบ
ปิงมึงเสร็จยัง ป่ะ หิวแล้วเดี๋ยวออกไปกินผัดไทยกุ้งสดกันดีกว่า”
พี่เอย์แม่งกวนตีนพี่เชนอยู่ตลอด
มันไม่สนใจจะก้มลงไปช่วยหรอกเดินเข้ามาหาผมแล้วบอกให้จิ้มแตงโมป้อนกลัวมือเปื้อนจากนั้นดึงผมให้ออกไปพร้อมกัน
พี่ซ่าร์หัวเราะมันใหญ่ ขณะที่พี่เชนส่งสายตาระยะทางไกลมองมาตาเขียวทั้งๆที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นเก็บกวาดสิ่งที่มันทำกระจายไว้แบบนั้น
ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปหยิบเอากระเป๋า
กำลังจะก้มลงไปช่วยเก็บแต่อิพี่เอย์นิสัยไม่ดีดึงแขนไว้แล้วผลักให้ผมรีบๆเดินออกไป
พร้อมกับทิ้งคำพูดกวนตีนไว้อีกประโยค
“คเชนทร์กูไปแล้วนะ
เก็บให้สนุกนะมึงเดี๋ยวจะกินผัดไทยเผื่อ หึหึหึ”
“พี่เอย์ไม่เอาครับอย่าไปแกล้งพี่เชนสิ”
“ปิงมึงกลับมาเก็บช่วยกูเลย
กูเป็นพี่มึงนะ” พี่เชนรีบแทรกขึ้นมา เงยหน้ามองผมน่าสงสารมาก
“ไม่เอา กูจะพามันออกไปแล้ว
ซีซ่าร์มึงออกมาช่วยมันเก็บดิ”
“ไม่เอาหรอก กูจะนั่งกินแตงโมดูทีวีสบายใจ”
ผมหันมองพี่เชนตาละห้อยขณะถูกดึงแขนให้ออกไปที่ประตู
พี่ผมน่าสงสารเป็นบ้าเลย
ขนาดพี่ซ่าร์ยังไม่มาช่วย
ผมว่าจริง ๆ แล้วพี่ซ่าร์ร้ายกาจมากเหอะ ดูซิหน้ายิ้ม ๆ
แต่ปล่อยพี่เชนไม่สนใจเลยสักนิด รู้สึกเหมือนพี่เขากำลังสะใจอะไรสักอย่าง
หรือว่าจะโดนพี่เชนแกล้งมาเยอะ อันนี้ก็ไม่รู้
.
.
“บ้านของเรา!?”
“ใช่
บ้านของเรา มึงชอบทำอาหารเพราะอย่างนั้นกูเลยให้เขาออกแบบห้องครัวให้ออกมาดี กว้างขวางและครบเครื่องที่สุด
อุปกรณ์ภายในเดี๋ยวจะให้ช่างที่รู้จักกันมาวัดขนาดแล้วติดตั้งทุกอย่างให้
เราจะเอาครัวแบบที่สามารถใช้งานได้จริง มีตู้เย็นใหญ่ ๆ มีเตาอบเผื่อว่าต่อไปมึงอยากจะทำขนมหรือทำอาหารอะไรต่ออะไรของมึง”
“พี่เอย์ครับ
ผมบอกตอนไหนว่าผมชอบทำอาหาร ทำครัว ทำขนม”
“ไม่รู้อ่ะ
แต่เมื่อก่อนมึงชอบทำข้าวผัดกุ้งให้กูกินนี่ ต่อไปอยู่ด้วยกันมึงต้องทำดิ”
เวรแล้ว
ผมทำเป็นเฉพาะสิ่งที่ผมกินเป็นเท่านั้น มันเหมาเป็นว่าผมชอบทำอาหารได้ยังไงกันวะ
ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ หน้าพี่เอย์เริ่มเหวี่ยงนิดๆ
“งั้นจะเอาป่ะล่ะหรือจะปรับครัวให้เล็กลงไปอีกก็ได้
ตามใจมึงนะไม่เอาก็ไม่เอา” คุณชายพูดเจือน้ำเสียงน้อยใจหน่อย ๆ ผมรีบก้าวเข้าไปหา “เอาสิครับเอา
เอาห้องครัวกว้างๆนี่แหละ” แค่ประโยคนี้คุณชายก็ฉีกยิ้มแล้ว มันน่ะชอบให้ผมทำอาหารให้ทาน ความจริงผมก็ชอบนะ
ต่อไปจะพยายามทำเมนูให้หลากหลายขึ้น ปกติพี่เอย์กินยากมาก
เพราะอย่างนั้นมีครัวกว้าง ๆ ครบเครื่องก็ดีไปอย่าง ผมจะได้หัดทำโน่นนี่นั่นไว้ให้มันกิน
ยิ่งพี่เขาชอบทานฝีมือผมมากกว่าจะออกไปทานข้างนอกหรือซื้อกับข้าวถุงมาทานกัน
แต่ฮึ่ยยยย คิดแล้วกลุ้มว่ะ ผมยกมือยีๆหัว เมื่อคิดไปถึงขนาดว่าตัวเองกำลังจะกลายไปเป็นพ่อบ้านเต็มตัว
หน้าที่นี้มันอะไรก๊านนนน นับวันจะเหมือนภรรยาเข้าไปทุกที พี่เอย์มันมองมาที่ผมแบบแปลกๆคงงงว่าผมขยี้หัวตัวเองทำไม
“เป็นอะไรของมึง?”
มันถามอย่างสงสัย
“เปล่าครับ”
ผมปฏิเสธไป
“มึงก็ลองคิดๆไว้ล่ะ
ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็ค่อยบอกนักตกแต่งเขาไปใหม่นะปิง”
“ครับพี่เอย์”
ช่วงบ่ายหลังจากที่เราแวะทานข้าวกันที่ร้านอาหารเล็ก
ๆ ง่าย ๆ พี่เอย์พาผมไปเลือกแบบของผ้าม่าน โซฟา โต๊ะอาหาร คือทุกอย่างที่เกี่ยวกับการตกแต่งภายใน
ทำไมถึงกลายเป็นผมที่เป็นคนเลือกและตัดสินใจผมเองก็ยังงง
มันให้เหตุผลแค่ว่าบ้านหลังนี้เป็น
บ้านของเรา
“ปลูกดอกไม้ตรงนี้นะ
มึงชอบดอกอะไรวะปิง”
เราเดินมาถึงระเบียงไม้ระแนงสีขาวด้านข้าง
พี่เอย์ชี้ให้ดูพื้นที่ว่างของตัวบ้าน ดินปรับระดับพร้อมลงหญ้าและต้นไม้
“ปลูกลีลาวดีไหมครับ
ดอกโตๆสีขาวเหลืองผมชอบนะ ส่วนที่เล็กๆด้านล่างเอาเป็นแปลงกุหลาบดีไหม หรือจะปลูกมะลิซ้อนดีกว่าเผื่อตอนเช้าส่งกลิ่นหอม
ๆ อยู่ตรงกับหน้าต่างห้องนอนเราพอดีเลย”
“ตามใจมึงก็แล้วกัน
ลงลีลาวดีใหญ่สักต้นที่มุมนั้น ปลูกซากุระเมืองไทยด้วยดีไหมออกดอกเล็กๆสีชมพูเวลาบานพร้อมกันทั้งต้นสวยมากเลยนะมันจะปลิวเข้ามาที่หน้าต่างห้องนอนเราด้วยนะ
มึงชอบไหมปิง ส่วนที่ว่างข้าง ๆ กันจะให้เขาขุดบ่อหิน สร้างบ่อปลาสวย ๆ เลี้ยงปลาคาร์ฟไว้ให้มึงดูเล่นไง”
“พี่เอย์ครับ
แล้วฝั่งนั้นล่ะ” ผมชี้ไปทางด้านหน้า พี่เขาสร้างเหมือน ๆ
กับจะเป็นร้านอะไรสักอย่าง พื้นที่ไม่เยอะนะ แต่ก็ดูน่ารักทันสมัยสมกับที่เป็นวิศวกรคนดังออกแบบ
มีสวนหย่อมเล็กๆกับต้นตะโกประดับไว้
“ตรงนั้นจะไว้เป็นโฮมออฟฟิศ
กูไม่อยากจะไปเช่าตึกทำบริษัทอะไรให้ยุ่งยาก เพราะงั้น
มีออฟฟิศเล็กๆไว้สำหรับรับงานแค่นั้นก็คงพอ
ถึงจะออกนอกเมืองมาหน่อยแต่กูพอจะมีลูกค้าที่เขาไว้ใจส่งงานให้กันอยู่”
มันพาผมเดินมาดูใกล้
ๆ สไตล์การออกแบบทันสมัยมาก พื้นที่เล็กๆแต่สามารถทำให้รู้สึกสบายใจเวลาที่มองอย่างบอกไม่ถูก
คล้ายรีสอร์ทสวยที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
“พี่เอย์ผมว่าพี่ออกแบบออฟฟิศได้สวยมากเลยครับ
เดี๋ยวถ้าเอาโซฟากับโต๊ะที่เราไปเลือกกันมาเมื่อกี้วางลง
จะกลายเป็นออฟฟิศที่ลงตัวมาก สีโทนขาวปนน้ำตาลนิดๆ ผมชอบนะ”
พี่เอย์พยักหน้าเบา
ๆ เราเดินกันออกมาที่ด้านหน้า มองภาพรวมของตัวบ้านรวมทั้งหน้าร้านอีกครั้ง
“ตัวออฟฟิศต้องออกแบบให้โมเดิร์นหน่อยเพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะตัดสินใจจากการตกแต่งร้านของเราด้วยแต่กูไม่ทิ้งสไตล์คลาสสิคนะ
อยากให้เขารู้สึกประทับใจตั้งแต่เข้ามาติดต่องานกับกูเลย”
“พี่เก่งว่ะ
ผมชื่นชมนะ ตอนแรกก็คิดอยู่เหมือนกันว่าบ้านที่ปรับโซนเป็นออฟฟิศในตัวจะดูดีแค่ไหน
พอเห็นเข้าจริง ๆ แล้วคือสวยมากเลยครับ ทันสมัยพร้อม ๆ ไปกับความคลาสิค
ดูหรูหราแต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของความคลาสสิค”
“ตอนที่เรียนอยู่นิวยอร์กกูเคยไปอบรมเกี่ยวกับการตกแต่งภายในสไตล์ล้ำยุคมาเลยเอามาปรับใช้กับบ้านตัวเอง งานที่รับอาจจะไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน แต่โชคดีหน่อยมีลูกค้าที่คุ้นเคยกันแล้วเขาชอบฝีมือกูตามมาเป็นลูกค้าของที่นี่ด้วย
โครงการก่อสร้างสองแห่งกูก็เพิ่งรับเอาไว้ เขาพูดเรื่องโครงการใหญ่ขึ้นมาอีกกูเลยขอเอาไว้ว่าอยากจะทำเฉพาะโครงการเล็กๆเพราะไม่อยากจะไปตัดหน้าบริษัทของพ่อแม่ตัวเอง”
“พี่ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมครับ
เรื่องนั้น..” เราเดินกันออกมาด้านนอก รั้วด้านข้างของบ้านติดกันกับรั้วบ้านแม่ผม
ที่ดินส่วนที่พี่เอย์ซื้อไม่ใหญ่มากนะแต่กว้างดี
เพราะบ้านเราหลังไม่ใหญ่มากออฟฟิศด้านหน้าจึงสามารถแยกออกมาจากตัวบ้านได้
พี่เขาสอดมือเข้ามาจับมือผมไว้
“กูตัดสินใจแน่นอนแล้ว
ต่อไปต้องใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ต้องประหยัด เพราะต้องดูแลเรื่องการเงินเองทั้งหมด เดี๋ยวกูจะไปดูรถญี่ปุ่นสักคันมาไว้ใช้
มึงต้องไปเลือกด้วยกันนะ”
“เอาคันเล็กๆไหมพี่
ผมว่าฮอนด้าแจ๊ซก็น่ารักดี”
“แจ๊สไม่ได้ มึงเคยเห็นยักษ์สองตัวนั่งรถคันเล็กๆไหม
ตลกไปนะ”
“พี่แม่งบ้า
หาว่าผมเป็นยักษ์เหรอตัวเองเหอะทั้งสูงทั้งใหญ่ งั้นเอาแอคคอร์ดป่ะละ”
“ไม่ได้
แอคคอร์ดเกินล้าน กูไม่อยากใช้เงินฟุ่มเฟือยอีกแล้ว อันไหนประหยัดได้ต้องประหยัดไว้ก่อน
เงินเก็บจะได้เหลือเยอะๆเดี๋ยวจะฝากไว้ที่เมียทั้งหมดนั่นแหละ”
“บ้าไปแล้ว พี่แม่ง”
ผมอายจนหน้าร้อนผ่าว ผลักมันกระเด็นไปจนชนรั้ว พี่เอย์คว้าเอาไว้ทันเกือบล้ม
“มึงเขินเหี้ยไรวะ
เล่นแรงฉิบหายล้มลงไปกูได้เปื้อนจริงเนี่ย”
“ก็พี่พูดจาแบบนั้นทำไมเล่า
มันน่าอายออก”
“กูพูดจริงทุกอย่างนี่”
มันดึงแขนผมไปจับมือไว้อีก
“กูว่าจะซื้อรถแบบเจ็ดที่นั่งอะ
พับเบาะได้ เป็นแวนในตัว ฮอนด้าแวนตัวใหม่ก็สวยนะ”
“เอ้ยจริงดิ
มันจะไม่แพงไปเหรอไหนว่าห้ามเกินล้าน”
“ก็พอสู้ได้ ถูกกว่าแอคคอร์ดนิดๆ ซื้อเงินสดไม่แพงหรอก
ล้านกับอีกจิ๊ดเดียว”
“เแต่แจ๊ซน่ารักดีนะ
ผมชอบ”
“อ้าวเหรอ แต่ว่า.....”
พี่เอย์ทำท่าทางอึกอักแปลก ๆหยุดเดินก้มหน้าคิ้วขมวดคล้ายคิดอะไรบางอย่าง
ผมก้มลงไปมองมัน
“ทำไมครับ
พี่อยากได้คันใหญ่ๆเหรอ”
“ก็...”
“ก็อะไร”
“ก็เผื่อว่ามีน้องหมา
เวลาเราไปเที่ยวทะเลไม่ก็ภูเขาด้วยกัน จะได้พาน้องไปด้วย”
“หืม?”
“ถ้าเราออกเป็นรถครอบครัว
เผื่อน้องตัวโตขึ้นจะได้นอนเล่นอยู่หลังรถแบบสบาย ๆ มึงจะปูที่นอนให้น้องก็ยังได้
ถังเสื้อผ้าของเล่นของใช้ของน้อง”
เชื่อเขาเลย...นี่เรากำลังพูดถึงน้องหมานะ
ทั้งที่มันเคยง๊องแง๊งบอกไม่อยากจะเลี้ยงเพราะกลัวผมให้ความสนใจกับหมามากกว่ามัน แต่ในที่สุดคุณชายก็ยอมตามใจผมอยู่ดีเพราะรู้ว่าผมชอบ
หัวใจรู้สึกอุ่นขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก สอดมือกอดเข้าที่เอวมัน เรากำลังจะเดินข้ามมาที่รั้วบ้านผมอยู่แล้วแต่ผมอดไม่ได้จริง
ๆ ซุกหัวเข้าที่อกกว้าง
“ขอบคุณมากครับพี่เอย์”
“กูทำได้ทุกอย่าง
เพื่อมึง แล้วก็ทิ้งได้ทุกอย่าง เพื่อมึงเช่นกัน”
“พี่เอย์!”
“กูไม่มีอะไรแล้วนะปิง
นับจากวันพรุ่งนี้ กูเหลือแต่มึงเท่านั้น”
“....ผมทำให้พี่ลำบาก”
นี่คือความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจผมมาตลอด
ตั้งแต่รู้ว่ามันคิดจะย้ายออกมาจากบ้านแบบจริงจัง
คนที่ยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผม
พี่เอย์ลำบากเพื่อผมมากมายจริง ๆ
พี่เขาส่ายหน้าช้า
ๆ “นี่คือสิ่งที่กูเลือกเอง ถ้ารักกูห้ามพูดคำนี้อีกนะ” มือใหญ่ลูบลงที่หัวผมอย่างที่เคยทำ
“ลำบายกายกูไม่เคยกลัว
ถึงแม้บางอย่างจะไม่เคยทำแต่ก็คิดว่าจะสามารถก้าวผ่านมันไปได้
เพราะว่ามีมึงอยู่ข้าง ๆ แค่นั้นเองที่กูต้องการ กูจะอยู่กับมึงจนกว่าผมของมึงจะกลายเป็นสีขาวเลย”
“.......” ผมก้มหน้าระบายรอยยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก น้ำตารื้นออกมาคลอจนเต็มหน่วย
ขณะที่มือใหญ่และเย็นนั้นยังลูบอยู่ที่ศีรษะ ริมฝีปากกลับพึมพำท่วงทำนองไพเราะมากๆ
♫ ♫ ~ ♪ “.........动也不能动 也要看着你
直到感觉你的发线 有了白雪的痕迹
直到视线变得模糊 直到不能呼吸
让我们 形影不离......” ♫ ♫ ~ ♪
พี่เขายิ้มอ่อนโยนส่งให้ขณะที่ผมแปลไม่ออกเลยสักนิดว่าเพลงที่มันร้องมีความว่าอย่างไรบ้างรู้แต่ว่าเพลงเพราะมากเสียงพี่เอย์ทุ้มและนุ่ม
ผมทำหน้าสงสัยกำลังจะอ้าปากถาม พี่เขาใช้ปลายนิ้วชี้ทาบลงที่ริมฝีปากแล้วส่ายหน้าประมาณว่าอย่าถาม
ผมขมวดคิ้วขณะที่มันยังยิ้มและดึงตัวผมเข้าไปกอด
“คราวนี้มึงไปเสิร์ชหาไม่ได้เหมือนภาษาอังกฤษหรอกนะ”
“พี่เอย์พี่มันแย่ที่สุด
คนอะไรจะพูดได้หลายภาษาแบบนั้น ผมเองก็อยากจะรู้นะความหมายของคำพวกนั้น”
“จะรู้ไปทำไม
บอกก่อน”
“ไม่รู้แหละ
ผมก็อยากรู้ของผมเหอะ ทำนองมันก็เพราะแถมพี่ยังร้องมันออกมาในช่วงเวลาแบบนี้
ทำท่าซึ้ง ๆ ผมก็คิดว่า......”
“คิดว่าอะไรครับ?”
น้ำเสียงพี่เอย์เหมือนคนรู้ทันแทรกขึ้นมา นั่นยิ่งทำให้ผมเขินจัด หน้าร้อนไปหมด
“พี่เอย์พี่แม่งงงง
ไม่คุยแล้ว”
ผมทุบอกมันดังอุ๊ก! โทษฐานกวนตีนไม่เลิกทั้งเขินทั้งอิ่มเอมใจหยิบจับอะไรไม่ถูกสองมือที่ว่างเปล่าไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ยกขึ้นมาทุบตีมัน
พี่เอย์ขำผมจนหน้าแดงคอแดงไปหมด
ผมเลยพาลจะขำไปด้วย
“พรุ่งนี้มึงมีนัดปิดงานที่อัศวใช่ไหม”
“ครับใช่”
“อย่างที่แพลนไว้
พรุ่งนี้กูเองก็จะเข้าไปบอกกับที่บ้านเรื่องของเราแล้วเรื่องออกมาทำร้านเอง คุณพ่อกับคุณแม่อยู่บ้านกันทั้งคู่
พอเสร็จแล้วเรามาบอกแม่มึงกับพี่ขมด้วยกันนะ ทำวันเดียวให้เสร็จหมดทั้งสองบ้านเลย
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เป็นไงเป็นกัน”
“พี่เอย์ครับ?”
“ไม่เป็นไร
กูตัดสินใจแล้วจะออกมาอยู่ที่นี่ กับมึง”
สายตาพี่เขามั่นคงและแน่วแน่
มันกำมือผมแน่นมาก
ผมรู้ว่ายังไงเสียความรู้สึกของคนที่จะแยกออกมาอยู่ตัวคนเดียวโดยที่จะทิ้งครอบครัวไว้ด้านหลังนั้นไม่ง่ายเลย
พี่เอย์ทำทุกอย่างเพื่อผมมากมายจริง ๆ
ในเมื่อครอบครัวของมันยอมรับเรื่องของเราไม่ได้ มันจึงตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้
“ผมขอไปรอรับพี่ที่หน้ารั้วบ้านได้ไหม
เอามอ’ไซด์ไปนะ”
“ได้สิ
ขอแค่เป็นมึง จะจักรยาน มอไซด์หรือจะเดินเท้าขึ้นรถเมล์
กูก็พร้อมจะไปกับมึงอยู่แล้ว”
ตายห่า....อยากกอดมันขึ้นมาเลยจริง
ๆ อิพี่เอย์แม่งพูดเอาใจคนเก่งตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่”
“อะไร”
“เรามาฉลองที่บ้านใหม่กันสักยกเถอะว่ะ
ผมโคตรซึ้งใจเลย”
“ได้ดิ เคาน์เตอร์ครัวเสร็จแล้วพอดีว่าจะชวนมึงลองอยู่เนี่ย
กูออกแบบระดับความสูงให้เท่ากับช่วงเอวมึงเลยนะ”
“บ้า ลามก”
“มึงดิลามก
ใครเป็นคนชวนกันล่ะ”
“เออ ผมไง”
“ป่ะ
อยากเหมือนกัน”
“ไม่อ๊าววววว
พูดเล่น แม่เรียกกินข้าวแล้วนั่น” เสียงแม่แว่วมาจากบ้านโน้นแล้วจริง ๆ นะ
ผมทำท่าจะวิ่งหนีเจอมันคว้าเอวไว้
“หึหึ
มึงนี่น๊า ยั่วเก่งฉิบหายยังไม่รู้ตัวอีก”
“พี่เอย์ปล่อยยยยยยยยยยผมมมมมม”
คืนนั้นผมนอนค้างที่บ้านโดยที่พี่เอย์เองก็กลายเป็นแขกร่วมห้องไปอีกวัน
แม่กับพี่ขมคงชินกับมันแล้ว เพราะแค่เห็นว่ามันไปทานข้าวเย็นด้วยพี่ขมก็เข้าไปปูที่นอนให้แบบเสร็จสรรพ
ชุดนอนคุณชายยังมีอยู่ที่บ้านผมเลยสองชุด
พี่เอย์อาบน้ำนานมากไม่รู้จะขัดถูขี้ไคลอะไรนักหนาทั้งที่ตัวมันก็ห้อมหอม
มันแต่งตัวเรียบร้อยเดินเช็ดหัวออกมา
ดึงแขนผมให้เข้าไปนั่งลงที่ตัก
“พี่เอย์อย่าแกล้งดิครับ
ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยตัวเหม็นนะ”
“หื้ม??
เหม็นตรงไหน ไหนดูดิ๊”
จมูกโด่งๆของคุณชายซนมาก
ยุ่งอยู่แถว ๆ หลังคอผม ทำเสียงฟึดฟัดคล้ายหมา ผมเบี่ยงตัวหนี
“เดี๋ยวๆ
เดี๋ยวก่อนพี่ ขอผมไปอาบน้ำก่อนดิ แล้วเดี๋ยวค่อยหอม นะๆ”
“ก็ได้ แต่กูจะจับเวลามึงห้ามอาบเกินสิบนาที”
“โหยขี้โกง ทีตัวเองอาบครึ่งชั่วโมง”
“กูชอบนี่น้ำบ้านมึงเย็นดี
อาบจากโอ่งเลยหายากมาก ๆ”
“เว่อร์ไป
น้ำที่ไหนก็เย็นเหอะ”
“เออจะว่าไปถ้าบ้านเราเสร็จซื้อโอ่งน้ำไปวางไว้ข้างๆอ่างจากุซซี่นะ”
“อะไร!? นี่อย่าบอกนะว่าพี่สั่งอ่างจากุซซี่เข้ามาไว้ที่บ้านแล้ว”
“ก็ใช่ดิ่ มึงเข้าไปดูห้องน้ำรึยัง
อ่างน้ำวนสีขาวรูปกระต่าย กูทุ่มให้กับบาธรูมมากนะเพราะรู้ว่าเราสองคนทำกิจกรรมในนั้นบ่อย
ตอนแรกว่าจะประหยัดงบห้องน้ำอยู่เหมือนกัน คิดไปคิดมากลัวมึงไม่ โอ๊ยยยยย
ตีกูทำไมเนี่ยปิง มือหนักฉิบ!”
“พี่แม่งบ้า
พูดอะไรหัดอายบ้างเหอะ” ผมฟาดมันรัวเลย ช่างดิ่ คนเขินนี่
“กูพูดจริง” มันตอบเสียงอ่อย
“บ้า ประสาท
ใครเขาจะเข้าไปทำอะไรบ้าบอในนั้นไม่มีหรอก ผมไม่ยอมทำแน่ๆอ่ะ”
“จริงเร้ออออ
กูเห็นมึงออกจะชอบ” พี่เอย์ยิ้มกว้างไม่สนใจว่าผมจะอายหน้าขึ้นสีเลยสักนิด คุณชายทำหน้าสบายใจเท้าแขนแล้วนอนคว่ำหน้าเอาหนังสือซอฟแวร์แถวๆนั้นมาเปิดอ่าน
ผมฟาดผั๊วะอีกครั้งทิ้งทวนก่อนลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้กำลังจะเปิดประตูออกไปอาบน้ำบ้าง
RRRRRR
RRRRRRRRRRRR
RRRRRRRRRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์มือถือดัง
ผมมองหาจำไม่ได้ว่าตัวเองเอาวางไว้ที่ไหน ได้ยินเสียงนะของผมเอง แต่ยังไม่เห็นตัวเครื่อง
เสียงเรียกดังมาจากฟูกนอน
“ปูน?”
พี่เอย์พูดขึ้น
มันชูมือถือผมค้างไว้แล้วหันหน้าจอออกมา ผมเดินเข้าไปหาจะเอามากดรับ
มันรีบเอามือถือหนีไปอีกทาง
“มันโทรมาหามึงทำไม”
ทั้งเสียงทั้งหน้าคุณชายเริ่มเหวี่ยง มันลุกขึ้นนั่งคว้าหมอนเข้ามากอด
จ้องมือถือกับผมสลับกัน
“เอ๋าจะรู้ไหมครับเนี่ย
เดี๋ยวผมขอรับก่อนดิ” ผมเดินเข้าไปจะคว้าเอาอีกครั้ง มันส่ายหัวปราม
“มึงไปอาบน้ำเดี๋ยวกูรับให้เอง
ถ้าเป็นธุระสำคัญจริง ๆ กูจะให้มันฝากข้อความไว้”
“เฮ้ยไม่เอาพี่
เดี๋ยวผมรับแปปเดียว รับตรงนี้แหละเพื่อนผมเองเผื่อเขามีธุระอะไรสำคัญ”
พี่เอย์ตวัดสายตามองผมเขียวปั๊ดเลย
อะไรวะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเหอะเพื่อนโทรมาผมแค่จะหยิบมากดรับผิดตรงไหนล่ะ
“พี่เอย์อย่าเล่นครับ
เอามาเร็วเดี๋ยวผมรับก่อน ปูนเพื่อนผมนะ”
-ติ๊ด-
เสียงมันกดตัดสาย
พร้อมยัดเครื่องใส่กระเป๋าเสื้อนอนของตัวเองทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ผมนั่งมองมันแบบที่พูดอะไรไม่ออก ส่วนมันก้มลงไปสนใจหนังสือต่อ
“จะอาบไหมน้ำ
หรือว่าจะนอนทั้ง ๆแบบนี้ กูรับได้หมดนะ” มันว่าทั้งที่ตายังสนใจหนังสือแต่ดึงแขนผมจะให้นอนลงไปด้วยกัน
ผมรีบลุกขึ้นทันที
“พี่แม่งแง่งๆๆๆ”
ผมบ่นอุบอิบระอากับทีท่าเอาแต่ใจของมัน ส่ายหัวแล้วรีบวิ่งออกจากห้อง ได้ยินเสียงมันหัวเราะไล่หลัง
แต่เสียงมือถือดันดังขึ้นอีกครั้ง
ผมหันกลับไปมอง อิพี่เอย์ตาเขียวปั๊ดคิ้วมุ่น มันล้วงเอามือถือขึ้นมา จ้องผมแล้วกดรับสายแทน
มีการชี้หน้าคาดโทษเสร็จแล้วโบกมือไล่ให้ผมออกไปอาบน้ำอีกด้วย
แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะ
ได้แต่เดินออกมานี่แหละปล่อยให้มันรับสายไป ภาวนาขอให้ปูนมันพูดแต่เรื่องงานก็แล้วกันเพราะไม่งั้นคืนนี้ผมโดนจัดหนักจัดเต็มแหง
ๆ
สายน้ำเย็นฉ่ำ
อากาศช่วงต้นปีกำลังเย็นสบายได้ที่เลย ผมอาบน้ำเสร็จใส่เสื้อกล้ามกางเกงเตะบอลเน่า
ๆ เดินคล้องผ้าขนหนูผิวปากตรวจดูบ้านอีกครั้ง แม่กับพี่ขมเข้านอนกันแล้ว กดสวิทปิดไฟทุกห้องเรียบร้อยก่อนเปิดประตูเข้าห้องตัวเอง
ตุ่บบบ!!
เฮ้ย ตกใจนะเนี่ย
อะไรวะหมอนใบเบ้อเริ่มถูกปามาจากไหนเข้าเป้าเต็ม ๆแสกกลางหน้าผมเลย มองเห็นคนปานั่งหน้างอจนเกือบจะหักอยู่บนเตียง
ผมตั้งสติได้รีบเดินเข้าไปหา เจอมันฟาดหมอนตะลุมใส่จนหลบแทบไม่ทัน
“เฮ้ย
อะไรเนี่ยพี่” ผมยกมือขึ้นมากันไว้
“มึงแม่ง
เจ้าชู้ตลอด” มันทั้งบ่นทั้งตี
“เจ้าชู้ที่ไหน
ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยเหอะ พี่เอย์ไม่เอานะครับ ไม่งอแงนะ ผมเจ็บนะเนี่ย
พอแล้วเลิกตีได้แล้ว” ผมพยายามแย่งหมอนในมือมัน
อิคุณชายเอาแต่ใจมันฟาดหมอนทิ้งไปแล้วมุดตัวเองเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม คืออยากจะบอกว่าขำมาก
ตัวมันก็ใหญ่ ๆ
ใช่ไหมแล้วตอนนี้ผ้าห่มคือเหมือนกับตัวดักแด้อะไรสักอย่างอยู่ข้างใน มันพันหัวพันหางไว้จนมิด
งอนผมอยู่นั่นแหละ
“พี่เอย์ครับ”
ผมเขย่าเรียกที่ก้อนผ้ายักษ์ ได้ยินแต่เสียงมันอู้อี้อยู่ข้างใน
“โอ๋ๆๆ
พี่เอย์ไม่เอานะ ไม่งอน ไหนดูซิใครทำอะไรน้องเอย์บอกพี่ปิงซิครับ” ผมทั้งพูดทั้งขำ
“อื้ออออ”
มันทำท่าหลบ ก้อนผ้าห่มกลิ้งไปจนชิดฝา
ผมขยับๆเข้าไปอีก
“ไหนบอกซิครับ
ปูนเขาโทรมาทำไม เขาพูดอะไรกับพี่ แล้วที่มางอนผมอยู่เนี่ย
ไม่บอกเหตุผลผมจะรู้ไหมว่างอนผมเรื่องอะไร หื้ม?”
“จิ๊!
กูไม่สนใจหรอก มันว่ามีธุระส่วนตัวจะคุยกับมึงแล้วจะโทรมาใหม่กูโมโหเลยขว้างโทรศัพท์มึงทิ้งไปแล้ว”
เสียงพี่เขาตอบอู้อี้ลอดออกมาจากผ้า มันยังไม่ยอมโผล่หัวออกมาหรอกนะ
ผมคุยกับก้อนอะไรสักอย่างอยู่เนี่ย
“เฮ้ยไรเนี่ยพี่
มือถือผมพี่ขว้างทิ้งเหรอ” ผมมองหากวาดตาไปจนทั่ว จริงอย่างว่าแบตกับตัวเครื่องแยกตกอยู่ข้างเตียง
พี่เอย์แม่งจริง ๆ เล๊ย
“ห้ามมึงเปิดเครื่องนะ
ไม่งั้นจากงอนธรรมดากูจะอัพเกรดเป็นโกรธเลย” มันรีบพูดทำอย่างกับรู้ว่าผมเก็บเครื่องขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะแล้ว
“โอ๋ๆไม่เปิดหรอกครับ
นี่แค่งอนใช่ไหม ไม่ได้โกรธผมนะ”
“อื้อ”
ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปปิดไฟ
หันกลับมาเห็นคุณชายโผล่หน้าออกมานิดๆจากนั้นรีบมุดเข้าไปในผ้าอีกครั้ง
คงโผล่หัวออกมาดูแหละว่าผมลุกเดินไปไหน พอเห็นว่าไปแค่ปิดไฟกำลังจะเดินกลับเลยมุดหายเข้าไปในผ้าห่มอีก
“ใครจะมานอนข้าง
ๆ น๊า วันนี้ไม่มีหมอนข้างด้วย” ผมทำท่านอนอยู่ที่ฟูกตัวเอง พูดขึ้นมาลอย ๆ
แอบมองมันคุณชายแอบโผล่ตาออกมามองพอเห็นว่าผมจ้องอยู่มันรีบมุดเข้าไปอีก
อะไรวะแม่งทำท่าน่ารักทำไม
“เฮ้อหนาวจัง
ไม่มีผ้าห่มเลยเนี่ย ใครจะใจดีให้ห่มด้วยน๊า”
ผมอมยิ้มทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่าไอ้ก้อนผ้ากลม
ๆ ยาวๆ กำลังขยับ ๆ เข้ามาหา พร้อมกับมือใหญ่ของมันที่สอดออกมาดึงผมเข้าไปนอนด้วยกันในผ้าห่มผืนโต
อิพี่เอย์เร็วมากมันคร่อมทับผมไว้ ตวัดผ้าห่มคลุมเราทั้งคู่
“กูจะทำโทษมึง”
ปลายจมูกเราชิดกัน ผมไม่กล้าขยับ จะอ้าปากตอบก็กลัวจะเจอมันจูบปิดลงมา
ได้แต่ส่ายหน้าบอกไม่ๆ
“มีผู้ชายโทรหาดึกๆดื่นๆ
ไหนปิงลองบอกสิครับจะให้พี่เอย์ทำโทษยังไง”
ดู๊ดูมันพูด
เพื่อนผมมีแต่ผู้ชายอ่ะ โทรหากันนี่เรื่องธรรมดามากนะ ผมผลักมันออก ยิ่งโดนรัดแน่น
“อะไรเนี่ยพี่
เพื่อนผมมีแต่ผู้ชายอ่ะ”
“แต่คนนี้ไม่เหมือนกัน
กูเซ้นต์แรงนะเรื่องแบบนี้”
“หราาา”
ผมแกล้งทำเสียงล้อมัน
“ไม่ต้องมายิ้ม”
ขนาดปิดไฟอยู่ในผ้าห่มมันยังเห็นนะว่าผมกำลังยิ้ม ก็ขำมันแหละ คนอะไรขี้หึงสุด มันเอามือขึ้นมาลูบแก้มผม
ผมยื่นมือไปดึงผ้าห่มออกนิดๆคือหายใจไม่ค่อยออกด้วยอึดอัด พี่เอย์จุ๊บเบาๆลงที่มุมปาก
“หมาปิง
ไปญี่ปุ่นกันไหม?”
“ห๊ะ??” ผมกลังนึกว่าตัวเองฟังอะไรผิด
จู่ ๆ พี่เอย์พูดเรื่องไปญี่ปุ่นทำไม
“ช่วงปีใหม่ยุ่ง
ๆ ยังไม่ได้พามึงไปเที่ยวที่ไหนเลย มัวแต่ยุ่งเรื่องบ้าน เรื่องร้านใหม่
ตอนนี้บ้านเสร็จแล้ว พอตกแต่งเสร็จเราไปเที่ยวกันสักอาทิตย์นึงนะ กลับมากูจะได้ลุยงานเต็มตัวไปเลย”
“อะไรเนี่ย
พี่ชวนผมไปฮันนีมูนเหรอ”
มันจ้องผมนิ่ง
อมยิ้มออกมาแล้วพลิกตัวกลับไปนอนลงข้าง ๆ เสยผมทำหน้าตาอารมณ์ดี
ผมว่ามันหน้าแดงด้วยนะคิดว่าเขินนิดๆ
“กูจะตั้งชื่อทริปนี้ว่าฮันนีมูนนรก”
มันดึงผมเข้าไปกอดอย่างหมั่นเขี้ยว เอาขาเกี่ยวตัวผมไว้แน่น
“ห๊ะ? ทำไมอ่ะครับ”
ผมถามอย่างสงสัย
“เพราะว่ากูจะกอดมึงในทุกๆที่
ที่เราไป”
นัยน์ตาคุณชายวูบไหวไปมาเจ้าเล่ห์มาก
ๆ ผมรีบหลบแทบไม่ทัน ทั้งคำพูดคำจาแบบนั้น...
“กอดน่ะ มึงเข้าใจความหมายไหม กอดแบบลึกซึ้งไม่ใช่นอนกอดธรรมดาแบบนี้
ไปกอดที่ห้องญี่ปุ่น กอดที่โต๊ะอุ่นขา
แล้วก็ไปกอดที่บ่อน้ำร้อน”
“บ้า
พี่แม่ง”
“นรกไหมล่ะที่นี้
นรกสำหรับมึงแต่สวรรค์สำหรับกูไง หึหึหึ”
“พี่เอย์พี่แม่งนิสัยแย่
นิสัยเสีย นิสัยไม่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ”
“อ๊ะเหรอขอบใจนะที่ชมกู
ง่วงแล้ว นอนดีกว่า”
ว่าแล้วมันก็หลับตาลงไป
รอยยิ้มยังคงมีอยู่เต็มใบหน้า มันกำลังจินตนาการอะไรผมไม่อยากจะรับรู้ ผมจ้องหน้ามันแล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเสยปอยผมให้
ผมลากปลายนิ้วลงมาตามโครงหน้า พี่เอย์ผมยาวขึ้นอีกแล้ว ยิ่งมองดูดีๆยิ่งเหห็นว่าพี่เอย์มีใบหน้าที่สวยมาก
ดูดีและสูงส่ง ผมอดที่จะพึมพำออกมาไม่ได้
“พี่เอย์ครับ
พี่เป็นผู้หญิงของผมนะ”
“หื้ม??
อะไรนะ มึงว่าอะไรนะปิง” มันลืมตาโพลงขึ้นทันที
“ผมบอกว่าพี่เป็นผู้หญิงของผม”
คราวนี้มันยันตัวขึ้น
เท้าแขนไว้จ้องผมแบบตกใจอะไรสักอย่าง
“พี่รู้ไหม
พี่น่ะเปรียบเสมือนดอกฟ้าเลย ดอกไม้ที่สูงศักดิ์
แต่ตอนนี้กำลังโน้มกิ่งลงมาหาหมาวัดอย่างผมให้ได้เชยชม”
“มึงคิดแบบนั้นเหรอ”
“ครับ”
“..........”
“นับจากวันพรุ่งนี้
พี่จะกลายเป็นคนของผมอย่างเปิดเผยแล้ว
ต่อไปผมมีสิทธิ์ขาดในตัวพี่เต็มที่นะบอกไว้ก่อนจะไปทำเจ้าชู้กับใครเจอผมจัดหนักให้อย่ามาร้องโอดโอยทีหลัง”
“หืม? ปิง
กูว่ามึงพูดผิดตั้งแต่ต้นประโยคเลยว่ะ”
“ไม่ผิดหรอก
พี่เป็นของผม”
“แล้วมึงอ่ะ
มึงเป็นของกูด้วยใช่ไหม”
“ไม่รู้ไม่ชี้
ผมง่วงนอนแล้ว” ผมหน้าร้อนผ่าวรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมากอดซุกหน้าลงไป
อายมันนิดๆด้วยแหละ ใครจะบ้าพูดว่าตัวเองเป็นของมัน มันต่างหากที่เป็นของผม
เสียงพี่เอย์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ผมยังไม่ยอมลืมตาดูมันเอามือมาลูบแก้มผม ส่งเสียงพึมพำ
“คนที่เป็นดอกฟ้าน่ะมันมึงต่างหากปิง
ครอบครัวของมึงด้วย จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
คืนนั้นเราสองคนหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน
ผมจำไม่ได้ว่าใครกอดใครรู้แต่ว่าเช้าวันต่อมา หน้าพี่เอย์ซุกอยู่ที่อกผมเหมือนทุกครั้งที่เราตื่น
หลายปีที่ผ่านมาท่านอนของมันยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ขี้อ้อน น่ารัก
ทำตัวอย่างกับเด็กๆ แต่ทุกกิริยาที่ว่ามานั้นผมชอบนะที่มันทำกับผมแค่คนเดียวเท่านั้น
.
.
“ขยับเนคไทขึ้นอีกหน่อยปิง
เชนนั่งตรงนั้นสิให้ปิงมานั่งข้างพิมนี่”
“กูว่ามึงมานั่งฝั่งนี้มา ข้าง ๆ กูนี่ ให้พิมมันนั่งตรงนั้นคนเดียวไปเหอะ”
“เชนกวนกูนักนะ”
“ชู่ว์เป็นผู้หญิงอย่าขึ้นกู
มันไม่งามเดี๋ยวคนเข้ามาได้ยิน โอ๊ยยย ไอ้พิม!”
“สมน้ำหน้าเป็นผู้ชายอย่าขึ้นไอ้กับผู้หญิง
กูหยิกแค่นี้มันยังน้อยไป ปิงช่วยพี่ตีมันเร็ว”
เราสามคนหยอกกันแม้กระทั่งที่ห้องรับรองเล็กของอัศวคอนสตรัคชั่น ตอนนี้ทั้งผมพี่เชนและพี่พิม พร้อมกันอยู่ที่ห้องประชุมเล็กเรียบร้อย
อีกแค่ไม่กี่นาทีจะถึงเวลานัด ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับการส่งมอบงาน
นับจากวันนี้เป็นต้นไปผมไม่มีความจำเป็นต้องเข้ามาที่นี่อีก
เว้นแต่ทางบริษัทจะเรียกตัวไปให้เข้ามาดูตัวระบบให้เป็นครั้งคราว
จริงๆกำหนดการของเราหมดตั้งแต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาแต่ทางคุณรันท่านประธานของที่นี่ขอไว้ว่าให้ต่อช่วงระยะการดูแลให้กับที่นี่เพิ่มอีก
แต่ถึงอย่างนั้นงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
ในที่สุดวันสุดท้ายสำหรับที่นี่ก็มาถึง
“ฉันพอใจมากกับระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทที่ถูกออกแบบมาใหม่ทั้งหมด
สามสี่เดือนมานี่ผลงานที่สามารถการรันตีประสิทธิภาพของยูเซย์ไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลยจริง
ๆ”
เมื่ออยู่ในโหมดงานคุณแม่พี่เอย์จะสวยงามดั่งนางฟ้าเสมอ
เธอจริงจัง มั่นคงและแน่วแน่มีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่ตลอดเวลา
เวลาในห้องประชุมดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่งผมนั่งฟังพี่เชนกับพี่พิมคุยตอบรับกับเธอและเลขาของเธอเป็นครั้งคราว
เธอมองมาที่ผมบ่อยนะแต่ก็ไม่ได้ยิงคำถามอะไรสำคัญ เป็นคำถามพื้น ๆ
ที่แม้แต่เด็กพนักงานทั่วไปเองก็ยังสามารถตอบได้
ในที่สุดทุกคนลุกขึ้น
เธอจับมือแสดงความขอบคุณกับทั้งพี่เชนพี่พิมและสุดท้ายเธอยื่นมือมาที่ผม
พี่เชนขยับเข้ามาหาขณะที่ผมยื่นมืออกไปคุณรันส่งยิ้มใจดีให้
“ขอบคุณมากๆ
อีกครั้งหวังว่าต่อไปเราคงได้ร่วมงานกันอีก”
“เช่นกันครับ
ผมขอขอบคุณที่อัศวให้โอกาสพวกเรามากมายเหลือเกิน”
รอยยิ้มของเธอทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน
อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเย็นนี้ถ้าหากพี่เอย์เข้าไปคุยกับเธอเรื่องขอแยกตัวออกมา
รอยยิ้มสวยงามนี้คงจะหดหายไปแน่ ๆ
ที่สำคัญเธอจะรู้ไหมว่าผมคนนี้คนที่เธอกำลังใจดีด้วยกำลังจะพรากลูกชายไปจากเธอแล้ว
ผมขอภาวนาให้พี่เอย์คุยกับครอบครัวเข้าใจ
ให้เธอสามารถยอมรับพวกเราได้ เพราะไม่อย่างนั้นทางที่พี่เขาเลือกอาจจะทำให้เธอทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
แต่ว่า....ผมขอสัญญาครับ
พี่เอย์อย่างไรเสียก็จะเป็นคนของตระกูลอัศวตลอดไป ถึงมันจะแยกมาอยู่กับผมแต่ผมไม่เคยโกรธหรือคิดรังเกียจตั้งแง่อะไรกับครอบครัวพี่เขาเลย
ผมกับพี่เอย์จะรอวันที่ครอบครัวพี่เขาให้อภัย ถึงจะนานแค่ไหน คนที่เป็นแม่อย่างไรก็คือแม่
หากจะตัดขาดกันยังไงก็ไม่มีวันขาดกันได้จริง ๆ หรอกผมเชื่อแบบนั้น ผมไม่มีวันยอมถ้าหากพี่เอย์จะกลายเป็นคนอกตัญญูแบบนั้น
และผมก็เชื่อว่าพี่เอย์ไม่มีทางกลายเป็นคนแบบนั้นได้
“ปิง”
เสียงพี่เชนเรียกให้ผมออกจากภวังค์ความคิด
ผมสะดุ้งรีบปล่อยมือเธอออกนึกได้ว่ากำลังเสียมารยาท
แต่คุณแม่พี่เอย์ยังยิ้มอย่างอ่อนโยน เราทั้งหมดเดินตามกันออกมาด้านนอก
ขณะที่ผมกำลังจะเดินแยกไปหาพี่เชนและพี่พิม
“พิชย”
เสียงเธอเรียกไว้ ผมชะลอตัวลงหันมาหาเธอ
“ฉันเห็นฝีมือของเธอแล้วจากซอฟแวร์ที่ทำให้กับบริษัทเรา
คเชนทร์เขาบอกว่างานเกี่ยวกับฐานการขึ้นรูปตัวอาคารการคำนาณค่าแม่แบบ และงานของแผนกวิศวกรรมทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นพิชยที่เป็นคนเขียนโปรแกรมขึ้นมา”
“ครับใช่
ผมกับพี่คเชนทร์แบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ”
“ดีนะ
งานของพวกเธอลงตัวมาก พนักงานของเราเองก็ชอบมากแบบสอบถามที่ฉันให้ทำไปผมตอบรับออกมายอดเยี่ยม”
“ขอบคุณมากครับคุณรัน”
“ขอถามอีกสักอย่างสิ”
คราวนี้เธอหยุดเดิน ผมเองเลยต้องหยุด
“ครับ?”
“สำหรับโปรแกรมเมอร์และนักวิเคราะห์ระบบอย่างเธอ
ฉันอยากจะรู้ว่า งานวางระบบในอุดมคติของเธอมีทิศทางเป็นแบบไหน
เธอทำงานมาจนถึงขนาดนี้เคยคิดถึงความสำเร็จในอุดมคติที่วางเอาไว้บ้างไหม”
ผมอึ้งไปนิดไม่คิดว่าจะเจอเธอยิงคำถามที่ยากมากขนาดนี้
ปกติแล้วคนทั่วไปไม่มีใครมาถามกันในเรื่องราวแบบนี้
คำถามของเธอสามารถชี้วัดเป้าหมายในอนาคตที่ผมแพลนไว้ทั้งหมดได้เลยในตัว
ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากมายจริง
ๆ
“ผมพยายามที่จะเขียนโปรแกรมออกมาให้ผู้ใช้ระบบ
ใช้ได้สะดวกสบายและตรงกับความต้องการมากที่สุด
ผมคิดไว้ถึงกระทั่งว่าซอฟต์แวร์ที่ดีควรจะมีเสถียรภาพในตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องอาศัยฮาร์ดแวร์ก็สามารถทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง”
“หมายความว่ายังไง
เธอกำลังจะบอกฉันว่า ซอฟแวร์ที่ดีควรจะกำจัดฮาร์ดแวร์ให้หมดไปอย่างนั้นรึ”
“ก็ทำนองนั้นครับ”
“หึหึหึ”
เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับว่าคำพูดของผมเป็นสิ่งเพ้อฝัน
“ผมอยากจะให้ยูสเซอร์สามารถดึงซอฟแวร์ที่ผมออกแบบขึ้นมาใช้งานได้เลยไม่ว่าจะนั่งอยู่ที่ไหน
ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวเครื่อง
เพียงแค่คิดและจินตนาการตัวซอฟแวร์จะถูกปล่อยออกมาเป็นภาพบนอากาศ
นั่นคือซอฟแวร์ในอุดมคติของผม”
“หึหึ” เธอยังคงหัวเราะออกมาเบา
ๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมแปลกใจ
“พิชย
ความคิดของเด็กๆน่ะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังโตขึ้นไม่ได้จริง ๆ สินะ คำว่า ‘อุดมคติ’
ยังไงก็เป็นแค่อุดมคตินั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ใช้ซอฟแวร์โดยปราศจากฮาร์ดแวร์มารองรับ
เด็กอย่างเธอก็เพ้อเจ้อไปเรื่อย อุดมคติอย่างไรเสียก็ยังเป็นอุดมคติอยู่วันยังค่ำล่ะนะ”
“ไม่จริงหรอกครับ”
ผมสวนขึ้นทันที อาจจะเสียมารยาทแต่ผมอยากจะอธิบายต่ออีกสักนิด
“อุดมคติ คือสิ่งที่ความเป็นจริงจะต้องก้าวขึ้นไปหา
ผมอยากให้คุณรันเปิดใจลองมองดูโลกยุคใหม่ ๆ
สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อสักครู่ไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงเลย โลกยุคใหม่หนึ่งบวกหนึ่งอาจจะไม่เท่ากับสองอีกแล้ว”
“อย่างนั้นรึ
แต่ว่า...สิ่งที่เธอพูด ความหมายของมันทั้งหมด เธอตั้งใจจะบอกอะไรกับฉันล่ะ
ของที่มันคู่กันมันก็ต้องอยู่คู่กัน มันก็เหมือนกับลูกไม่ว่าอย่างไรพ่อกับแม่ก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องเลือก
เธอยังเด็กนักพิชย เรื่องราวของเธอกับลูกชายของฉัน ฉันรับรู้ทุกอย่างถามว่าสนับสนุนไหมตอบเลยว่าไม่
แต่ฉันเองก็ไม่อยากผิดคำพูดที่เคยให้ไว้กับเอย์เขา เพราะอย่างนั้นเลยไม่เข้าไปขัดขวางปล่อยให้เอย์เขาเล่นกับเธอไปอีกสักพัก
จนกว่าเขาจะเบื่อนั่นแหละเธอถึงจะรู้ตัว...ว่าที่สุดแล้วชายกับหญิงก็ต้องคู่กันเป็นเรื่องธรรมดา
เธอต้องยอมรับให้ได้ ฉันไม่อยากให้เธอถลำลึกไปมากกว่านี้ เฟดตัวเองออกมาเถอะ
ไม่นานหรอกเดี๋ยวเธอจะลืมทุกๆอย่างได้เอง”
ผมกับเธอยืนอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงเมตรแต่ความรู้สึกของเราสองคนช่างห่างไกลกันมากมายเหลือเกิน ผมคิดว่ากำแพงนี้สูงชันเกินไป มองเห็นพี่เชนกับพี่พิมกำลังยืนรอผมอยู่ข้าง
ๆ ไม่ไกล แค่ผมก้าวออกไปจากผู้หญิงคนนี้ความสบายใจจะเข้ามาหาผมได้ในทันที แต่ผมยังเลือกที่จะยืนเผชิญหน้ากับเธอจนถึงที่สุด
“เธอเป็นเด็กดีนะพิชย
วันนี้ขอบใจมาก
ถ้ามีโอกาสฉันหวังว่าเราจะได้กลับมาร่วมงานกันอีก”
เธอยังคงยิ้มให้ก่อนจะเดินแยกออกไปแล้วทิ้งให้ผมยืนนิ่งงันอยู่ที่ตรงนั้น
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำคำถามต่าง ๆ
มากมายของเธอจริงใจหรือแค่ต้องการจะเชื่อโยงผมเข้าสู่เรื่องของพี่เอย์ ความรู้สึกต่าง
ๆ ตีตื้อขึ้นมาจนเต็มหัว
ผมไม่เข้าใจ
ทำไมเธอถึงได้ดื้อรั้นนัก ผมกับพี่เอย์ผิดมากหรืออย่างไร
เราก็แค่รักกัน.....เท่านั้นเอง
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ผมจะได้ไม่รู้สึกผิดมากนักตอนที่ไปรอรับมันเพื่อกลับ ‘บ้านของเรา’
‘พี่เอย์ครับ อย่างน้อยความรักของเราจะเอาชนะทุกๆอย่างให้ผ่านไปได้ใช่ไหม?’
“...กูจะอยู่กับมึงจนกว่าผมของมึงจะกลายเป็นสีขาวเลย”
'ผมก็จะอยู่ข้างๆ ขอเป็นคนของพี่จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตเลยครับ'
Tbc.