บทที่ 38 เอย์ตั้น ,ซีซ่าร์
Aeton’s Part
“เอย์ตัดสินใจแน่นอนแล้วใช่ไหมลูก”
“ครับคุณพ่อ”
ท่านเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาวางลงที่โต๊ะแล้วเลื่อนส่งให้
สมุดบัญชี?
“ถ้าจะออกไปจริง
ๆ ไม่ต้องเอาอะไรออกไปทั้งสิ้น ออกไปแต่ตัวทำให้แม่กับคุณย่าเขาเห็น นี่เป็นพันธบัตรกับสลากออมสินที่จะครบกำหนดอีกห้าปีข้างหน้าพ่อซื้อเอาไว้ให้ลูก
ทั้งแม่ทั้งย่าเขาคงจะพอใจแน่ถ้าได้รู้ว่าเอย์ไม่ได้เอาอะไรออกไปเลยสักอย่าง
เต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ล่ะคราวนี้ ลูกรอฟังข่าวดีได้เลย เราจะมาเล่นเกมส์กันสักหน่อย”
“ขอบคุณครับคุณพ่อ”
ผมหยิบสมุดบัญชีธนาคารที่ท่านส่งให้ขึ้นมาเปิดดู ยอดซื้อไม่น้อยเลย อย่างละยี่สิบล้านบาท
มันมากเกินด้วยซ้ำ
“คุณพ่อครับมันมากเกินไปรึเปล่า”
“ไม่หรอก ลูกยังเบิกใช้ไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนดของมัน
เผื่อเอาเงินรางวัลที่ลูกจะต้องได้ในทุกๆเดือนอยู่แล้วกับดอกเบี้ยการออมไว้ใช้ในคราวจำเป็น
ถ้าเอย์คิดว่าไม่อยากถือไว้ก็ให้แฟนของลูกเป็นคนเก็บ ถือว่าเป็นของขวัญจากพ่อ”
“.........”
ผมเงยหน้ามองท่าน
สายตาคุณพ่ออ่อนโยนเสมอ ท่านใจดีตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเปลี่ยนเลย
“ถ้าแม่กับคุณย่าเขาเต้นขึ้นมาจริง
ๆ พ่อจะห้ามไว้เอง ลองให้เขาสองคนไม่ได้ดั่งใจดูบ้าง
แล้วดูว่าพอลูกไปแล้วเขาจะเป็นยังไงกัน ถึงวันนั้นเชื่อสิเดี๋ยวเขาก็ไปตามเอย์กลับมาเอง”
“คุณพ่อไม่ขัดขวางผมเหรอครับ”
“ถึงอยากจะขัดพ่อก็ขัดไม่ได้หรอกจริงไหมล่ะ?
มันช่วยไม่ได้นี่ถ้าขัดขวางแล้วจะทำให้รอยยิ้มของลูกต้องหดหายไป
พ่อว่าปล่อยให้ลูกลองผิดลองถูกด้วยตัวเองจะดีกว่า สัญญากับพ่อนะถึงผลจะออกมาเป็นยังไง
เอย์จะต้องยอมรับให้ได้ มั่นใจแล้วว่าคนๆนี้คือคนที่ใช่สำหรับลูกก็จงเดินหน้าต่อไป
ขนาดหญิงชายอุปสรรคยังมีมากมาย นับประสาอะไรกับพวกลูก
เพราะฉะนั้นจิตใจที่เข้มแข็งและมั่นคงจะทำให้ลูกก้าวเดินต่อไปด้วยกันได้
ต้องอดทนนะลูก”
“คุณพ่อ
เอย์ขอบคุณมากครับ” ผมตื้นตันใจมากไม่รู้จะพูดกับท่านด้วยคำว่าอะไร
มันจุกอกไปหมดพร่ำพูดแต่คำว่าขอบคุณ
“ไว้พ่อจะแวะไปหา
ฝากบอกหนูปิงด้วย”
“คุณพ่อรู้!? รู้จักปิงเหรอครับ!?”
“รู้มาตลอด
คอยดูลูกกับคนที่ลูกรักอยู่ตลอด”
“......”
“รักกัน
ให้อภัยกัน ดูแลกันให้ดี ทำให้แม่กับคุณย่าเขาเห็น
ถ้าเขาจะเล่นไม่ซื่อกับลูกและคนของลูก พ่อจะจัดการให้ไม่ต้องกลัวไม่ปล่อยอีกแล้ว สองคนนั้นทำเกินไปจริง
ๆ ลูกทำบริษัทเล็กๆของลูกไป มีบ้านหลังเล็กๆสักหลัง
พ่อจะเป็นแบคอัพให้เอง”
ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปหาท่าน
คุณพ่อยืนขึ้นแล้ววาดวงแขนกอดผมไว้ มืออบอุ่นและมั่นคงตบลงที่บ่าผมเบา ๆ
อย่างให้กำลังใจ คุณพ่อเป็นแบบนี้เสมอท่านจะคอยดูผมอยู่ห่าง ๆ ถึงเรื่องราวภายในบ้านรวมทั้งผมกับซ่าร์คุณแม่จะเป็นคนคอยดูแลคุณพ่อเดินงานระหว่างประเทศ
ไม่บ่อยนักที่ท่านจะอยู่บ้านได้เต็ม ๆ วัน แต่ทุกครั้งที่ผมต้องการกำลังใจและเดินมาจนสุดทางแล้วจริง
ๆ ท่านเองก็ไม่เคยทอดทิ้ง
ผมยังจำได้...เมื่อครั้งยังเป็นเด็กคุณพ่อจะปล่อยผมวิ่ง
ปีน ไต่ และเล่นซนทุกอย่าง
ท่านไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยแม้ว่าผมจะตกลงมาแล้วร้องไห้ ถึงวิ่งแล้วล้มท่านก็ยังคงยืนอยู่ข้าง
ๆ ตรงนั้นไม่ไกลจากตัวผมแต่ก็ไม่เคยก้าวเข้ามาหา
ท่านรอดูจนผมลุกขึ้นได้เองแทบทุกครั้ง ล้มแล้วลุกขึ้นไปเล่นใหม่
ปล่อยผมเล่นจนผมพอใจ มือใหญ่ของคุณพ่อจะยื่นเข้ามาจับจูงมือเล็กๆของผมแล้วพาเดินกลับบ้านเสมอ
ถึงแม้ว่าไม่บ่อยนักเพราะท่านไม่ค่อยมีเวลา
ช่วงนั้นธุรกิจบ้านเรากำลังเติบโต
แต่ทุกครั้งที่ท่านจูงผมกับซ่าร์ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน
ผมไม่เคยลืม...
“ถ้าเราเป็นแผลน้องเอย์ต้องหัดใส่ยาเองแบบนี้นะลูก จิ้มยาแดงแล้วทาลงไป
เจ็บนิดหน่อยแต่ลูกผู้ชายต้องอดทน เอย์ตั้นไม่ร้องนะครับ”
“ล้มเอง เจ็บเอง
ต้องยอมรับแล้วลุกขึ้นเองหากลูกยังอยากจะเล่นต่อไป มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ
เอย์ก็ทำพ่อไม่ห้าม พ่อจะไม่บอกว่าสิ่งที่ลูกทำมันถูกหรือผิด
เอย์ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง จงเดินหน้าไป มีแต่คนที่เดินไปจนสุดทางเท่านั้น
ที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ พ่อเชื่อใจลูก เชื่อว่าลูกจะเลือกทำแต่สิ่งที่ดี ๆ”
“...คุณพ่อ....”
“เป็นคนดี ใช้ชีวิตอย่างสุจริต แค่นั้นเองที่พ่อต้องการ พ่อจะอยู่กับลูกเสมอ”
“.......ขอบคุณครับพ่อ”
ท่านพยักหน้าให้ ผมไหว้ลงที่ลาดไหล่ของท่าน ไหล่กว้างอบอุ่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เมื่อครั้งยังเด็กทุกครั้งที่ผมร้องไห้คุณพ่อจะอุ้มผมไว้ ผมกอดท่านแล้วซุกหน้าลงไปเสมอ มาตอนนี้ก็ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว ไหล่อบอุ่นแข็งแกร่งนี้ยังคงเป็นที่ให้ผมซุกลงไปพักพิงได้
.
.
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ผมชะเง้อหน้าจากตู้เสื้อผ้าหันไปดู คนเคาะเดินเข้ามานอนแผ่ลงที่เตียง จ้องมองดูผมที่อยู่ในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“แปลกว่ะ
วันนี้เจอมึงที่บ้าน” เสียงคนถามดังมาจากเตียงผมเอง
ผมไล่สายตาเลือกเสื้อเชิ้ตที่เรียงโทนสีเอาไว้เต็มราวตั้งแต่สีอ่อนไปจนถึงสีเข้ม
ในที่สุดเลือกหยิบออกมาได้หนึ่งตัว พาดลงที่พนักโซฟาแล้วเดินไปจัดการตัวเองที่หน้ากระจก
“กูมาบ่อยนะ
มีแต่มึงนั่นแหละ มาทีไรไม่เห็นเคยเห็น” ผมมองคนถามผ่านกระจกเงาบานใหญ่
ซีซ่าร์นอนเอาสองมือหนุนหัวผิวปากด้วยท่าทางสบาย
ๆ
“ไม่นับตอนกลางคืนดิวะ
มึงเข้ามาตอนกลางคืนเข้าห้องแล้วก็หลับทุกที แต่ตอนนี้มันกลางวัน มึงเคยเข้ามาเปลี่ยนชุดที่บ้านด้วยอ่อ?
แวะคอนโดไม่ง่ายกว่ารึไง”
“รู้ว่าวันนี้คุณพ่ออยู่บ้าน
กูตั้งใจมาคุยกับท่าน”
“คุณพ่อเพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์เมื่อคืนนี้”
“ใช่
กูรู้ แล้วมึง? ไม่เข้าบริษัทรึไง
หรือมีงานถ่ายแบบถ่ายละครอะไรนั่นอีก”
“อืม.....
มันทำท่านึกคำตอบอะไรสักอย่างผมมองไปเห็นมันดิ้นไปมาอยู่บนเตียงทำผ้าปูยับยู่ยี่ไปหมด
“เฮ้ย ซ่าร์มึงอย่ามาทำที่นอนคนอื่นยับนะ
นอนลงไปแบบนั้นเสื้อผ้ามึงเองก็ยับไม่รู้ด้วย” ใส่สูทแท้ ๆ ไม่ระวังตัวเองเลย
“จะเนี๊ยบไปไหนวะ
มึงนี่มันคุณชายจริง ๆ กูจะเข้าบริษัทเดี๋ยวนี้แหละ เห็นรถมึงเลยเดินขึ้นมาดู
จะไปพร้อมกันป่ะ ปิงอยู่ที่นั่นนะมึงไม่เข้าไปหาน้องเหรอ”
“เดี๋ยวจะเข้าไปรับตอนเย็น
วันนี้กูมีเคลียร์งานที่ศูนย์รถ”
ช่วงนี้งานผมเยอะมาก
พยายามคิดอยู่ตลอดว่าจะเคลียร์ส่งงานภายในสองหรือสามเดือนจะเสร็จไหม คือถ้าจะส่งงานต่อให้คนอื่นทำผมอยากจะให้เขาดูและอ่านได้ง่ายที่สุด
ไม่อยากให้เป็นภาระคนมารับช่วงมากเกินไป
“ซ่าร์”
ผมเดินเข้ามาหามันที่ข้างเตียง มันเอื้อมมือมาทำท่าจะกระตุกปมผ้าเช็ดตัว ผมคว้าจับมือมันไว้
จ้องหน้าแล้วพูดจริงจัง
“ช่วยดูงานที่บ้านแทนกูได้ไหม
กูคิดว่าจะออกไปเปิดบริษัทเล็กๆทำเอง” แววตาเจ้าเล่ห์ซุกซนเปลี่ยนไปทันที
มันลุกพรวดขึ้น ผมพยักหน้านิดๆ บอกให้รู้ว่าผมพูดจริงจัง กำลังจะเดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตที่วางพาดไว้
แต่ถูกมันดึงมือไว้อีก
ซ่าร์ถามหน้าตาตื่น
“เรื่องจริงเหรอที่ว่ามึงพาปิงเข้าไปหาคุณย่า”
“จริง”
“มึงเอาจริงเหรอวะเอย์”
“ใช่”
ผมดึงมือตัวเองออกจากมือมันแล้วเดินไปหยิบเสื้อมาสะบัดสวม
“จะออกไปเมื่อไหร่”
“เร็ว ๆ นี้
กำลังเคลียร์ทุกอย่างอยู่”
“แล้วมึงจะไปอยู่ที่ไหน
คอนโด?”
“เปล่า
กูซื้อที่ ใกล้ ๆ กับบ้านแม่ของปิงไว้แล้ว คิดว่าจะสร้างบ้านหลังเล็ก ๆที่นั่น พื้นที่ใช้สอยไม่มากนักหรอก
แต่คิดว่าน่าจะพอดีกับกูสองคน มีหมาอีกสักสองสามตัว ปิงมันชอบหมา”
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาปิงคุยกับพิมเรื่องที่ดิน
คุณย่าของพิมใจดีมากแบ่งขายให้ผมแปดสิบตารางวา แม่ปิงตกใจมากพอรู้ว่าผมไปซื้อที่ดินเล็กๆตรงนั้นไว้
เราสองคนคุยกันไว้แล้วว่าจะบอกเรื่องของเรากับท่านช่วงที่บ้านกำลังจะเสร็จ
“เฮ้ยจริงดิ!? จริงป่ะเนี่ย”
“จริง”
มันตบหัวผมมาที
“แล้วมึงมองข้ามหัวกูไปได้ยังไง
ใครเขียนแปลนบ้านให้มึง กูเป็นสถาปนิคนะ อยากได้แบบไหนบอกเลยเดี๋ยวกูจัดการ....”
“ไม่เป็นไรซ่าร์”
ผมกอดคอมันไว้
“พวกกูไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยาก
ปิงมันอยากได้แนว ๆ รีสอร์ทชั้นเดียวเล็กๆ กูเลยกะว่าจะเขียนแปลนเอง ดูแลกันเอง
ขอบใจมึงมาก”
“กูโคตรอิจฉามึงเลยว่ะเอย์
อยากทำอะไรก็ได้ทำ
ตั้งแต่เด็กแล้วมึงมักจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอในขณะที่กูถึงเกเรยังไงกูก็ยังต้องทำแต่ในกรอบที่บ้านวางไว้ให้
เพราะว่ากูขาดความเชื่อมั่น เพราะว่ากูไม่เคยมีคู่คิดที่พร้อมจะเดินไปกับกูจริง ๆ
เลยสักคน บางที..ถ้าหากกูเจอคนที่เขาจริงจังกับกูบ้างเหมือนมึงเจอปิง
กูอาจจะมีคนนำทางให้ออกไปดูโลกภายนอกบ้างก็ได้”
“ขอโทษนะซ่าร์
กูออกไปแบบนี้คนที่ต้องรับภาระทุกอย่างแทนก็คือมึง คนนอกไม่รู้คงจะคิดว่ามึงโชคดี
ส่วนกูโง่มากที่ทิ้งทุกอย่างไป แต่จริง ๆ กูรู้ดีว่า ทำให้มึงลำบากแค่ไหน”
“ไอ้น้องเหี้ย”
ซ่าร์เสียงสั่นมุดออกจากแขนผม นั่งชันเข่าขึ้นซุกหน้าลงไป
“ขอโทษที่เห็นแก่ตัว”
ผมลูบหัวมัน
“ยังไงมึงก็เป็นน้อง
ถึงจะแค่ปีเดียวแต่น้องก็คือน้อง กูยอมน้องกูคนเดียว”
มันตาแดงแล้วจริง
ๆ ผมเอื้อมมือไปกอดคอมันไว้อีก คราวนี้มันก้มหน้าซุกไหล่ผมกลับมา
“อื้อๆๆๆ”
มันฟาดมือลงมาที่หลังผม ทุบๆๆแล้วก็ทุบ ผลักตัวผมออกจ้องสาบเสื้อที่ยังไม่ได้กลัดรังดุมเลยสักเม็ด
“กระดุมเสื้อเนี่ย
มึงติดไม่เคยเรียบร้อยหรอก ยับยู่ยี่ประจำให้กูต้องติดให้ใหม่อยู่เรื่อยตั้งแต่เด็กแล้ว”
มันว่าแล้วจับกระดุมกลัดให้ใหม่ ทีล่ะเม็ดๆ ก้มหน้าก้มตาติด เรียงลงมาจนถึงเม็ดสุดท้าย
มันน้ำตาคลอๆก้มหน้างุดเชียวคงไม่อยากให้ผมเห็น
“แล้วมึงจะแวะมาที่บ้านอีกไหม”
“มาสิ”
“มาหากูเหรอ”มันเงยหน้าทันที
“ใช่
มาหามึง”
“แวะมาจริงนะ”
ผมคว้ามือมันมาจับไว้เมื่อมันเริ่มแกะกระดุมที่ติดแล้วออกอีกครั้งแล้วทำท่าจะติดเข้าไปใหม่
ผมรู้มันทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกถึงความไม่มั่นใจ
พอได้ยินเรื่องที่ผมจะออกไปอยู่เองมันคงกลัว คงเหงา คงอะไรหลาย ๆ
อย่างคิดในแบบของมัน
ซ่าร์เอามือมาจับปอยผมด้านหน้าที่ปรกลงมาปิดหน้าผากผม
“ผมยาวมากแล้วนะมึง
ไปซอยออกบ้างดิ่วะอยากจะหล่อเหมือนกูหรือไง” ผมเสยหัวตัวเองขึ้นแล้วลุกขึ้นมายืนที่หน้ากระจกหยิบกางเกงมาใส่ร้อยสายเข็มขัดให้เรียบร้อย
สเปรย์น้ำแร่ถูกฉีดพ่นใส่ฝ่ามือแล้วตบๆให้ละอองน้ำกระจายไปเกาะที่ตัวเสื้อ
กลิ่นหอมอ่อน
ๆ ในแบบของผู้ชาย
“แล้วเรื่องของมึงเป็นไงบ้าง?”
ผมเดินไปเปิดตู้เล็กเลือกหยิบเนคไทขึ้นมาหนึ่งเส้น
“เรื่องอะไรวะ”ซ่าร์เดินเข้ามาหา
มันอาสาผูกให้ ไม่รู้เคยบอกคุณไหมนะซ่าร์ตัวเล็กกว่าผมนิดหน่อยหุ่นมันพอๆกับปิงนั่นแหละ
“เรื่องคเชนทร์”
“ทำไมอ่ะ”
ท่าทางมันตกใจนิด ๆ อ้าปากหวอเลย ผมใช้สายตาบีบมันให้ตอบออกมา บอกให้รู้เป็นนัยว่า
อย่ามาทำเนียนรู้ทั้งรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
“ก็...ไม่รู้ดิ
ยังไม่มีอะไรแน่นอนหรอก มึงก็รู้กูคบไปเรื่อยไม่เคยจริงจังเป็นชิ้นเป็นอัน” สายตามันดูเศร้านิด
ๆ คิดว่าน่าจะมีเรื่องราวระหว่างมันกับเจ้านั่นอยู่
“ชอบมัน?”
“หือ??”
“ทำไมถึงชอบมัน?”
“มะ...ไม่รู้สิ
เพราะมันไม่เหมือนคนอื่นมั้ง มันไม่ชอบกูไง”
“อ้อ
มึงชอบแบบนั้น? ชอบคนที่เกลียดมึง??”
คุณเชื่อไหม
มันผูกไทให้ผมเป็นรอบที่สองแล้ว ทั้งที่รอบแรกก็เรียบร้อยดีแต่มันกลับแกะออกผูกใหม่
ซ่าร์ประหม่ามากจริง ๆ แค่ผมถามเรื่องคเชนทร์
“ก็น่าสนใจดีไม่ใช่ไง
อยู่วงการแบบกูเจอแต่คนง่าย ๆ มาเยอะ แค่กูมองก็แทบจะทอดกายให้
ง่ายทั้งชายทั้งหญิง มันก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะแต่ก็ต้องบอกว่าส่วนใหญ่ แค่ชื่อของกูบวกกับนามสกุลอัศว มีแต่คนอยากจะจับกินทั้งนั้น
กูเห็นมีแต่มันคนเดียวนี่แหละที่ยังดื้อดึงกับกูอยู่”
“เออ
มึงก็คงเข้ากับมันดีแหละ ขอให้มันรักมึงไว ๆ ละกัน”
ผมพูดแบบปลง
ๆ เห็นมันผูกเสร็จรอบนี้แล้วเลยเลี่ยงออกมา เช็คทุกอย่างที่หน้ากระจกอีกครั้ง หยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือ
“น้องเหี้ย! ไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องของกูเลย กูมันยังแค่เริ่มต้น
จริงไม่จริงกูเองก็ยังไม่รู้ เรื่องตัวเองมึงเอาให้รอดเหอะ
ปิงมันหล่อนะเว้ยถึงมึงจะเท่มากแต่ระวังน้องให้ดีแล้วกัน
ผู้หญิงในบริษัทเราชอบมันเยอะนะกูบอกให้รู้”
ป๊าปปป!!!
“กวนตีน” ผมยกขาเตะก้นมันไปแรง
ๆ ซ่าร์ด่าผมใหญ่ มันเตะคืนผมรีบหลบ
“ไอ้เหี้ย
กูไปแล้ว” คว้าเอาสูทพาดลงที่แขนแล้วเดินออกมา ขณะลงบันไดจัดเนคไทให้เข้าที่อีกครั้ง
เสียงตะโกนดังไล่หลังมาติด ๆ
“เอย์ พรุ่งนี้มึงเข้าบริษัทไหม”
มันร้องถามอยู่ที่หัวบันได
หน้าตานี่คือแบบ คาดหวังมากอะไรของมันไม่รู้ ผมยังไม่ได้ไปไหนสักหน่อยเลย
“เข้า”
ตอบไปแค่สั้น
ๆ คิดว่าจะไม่หันไปแล้วนะ แต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปดูนิดหน่อย
พี่บ้ามันจะยิ้มทำไมของมัน
อัศวคอนยังไงก็ต้องเข้าไปอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ไม่ว่างแค่นั้นเอง
Ceasar’s Part
ตุ่บบ!!
ผมวางถุงขนมลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์สามเครื่องเรียงเป็นแนวเฉียงจนเกือบจะเต็มความยาว เจ้าของโต๊ะคือแฟนของน้องชายผมเอง
“พี่ซ่าร์?.....สะ....สวัสดีครับ”
มันทำหน้าตางง ๆ มองถุงขนมกับหน้าผมสลับกัน
“พี่ซื้อมาฝากผมเหรอพี่”
“อือ กินดิ่” ผมนั่งลงหน้าโต๊ะน้อง แอบๆมองไอ้เจ้าของโต๊ะใหญ่ตัวข้าง
ๆ ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาไม่เห็นว่ามันจะเงยหน้าขึ้นมองผมเลยสักนิด
ให้ตาย ผมนี่มันไม่น่าสนใจขนาดนั้น??
“ขอบคุณครับ” ปิงว่าแล้วทำท่าจะหยิบหมากฝรั่งแท่งใหญ่สีฟ้าที่ผมเจาะจงซื้อมาฝากหมาบ้าบางตัว
ผมรีบคว้ามือมันไว้
“เฮ้ยอันนี้ไม่ได้” มันทำหน้าตกใจ
“อันนี้กูซื้อมาฝาก.......” ผมชะโงกหัวเข้าไปพูดเบา
ๆ แทบจะไม่มีเสียง มันพยักหน้ารับประมาณว่าเข้าใจ
ผมเลยโยนหมากฝรั่งแท่งนั้นใส่หัวไอ้บ้าที่นั่งสนใจแต่งานของตัวเองอยู่ มันหันมามองผมตาเขียวหน้านี่แบบคือโกรธมาก
“เชี่ย! มึงขว้างมาทำไม กูทำงานอยู่เนี่ย”
“กูพอใจ”
ผมแสยะยิ้มกวนตีนมัน
แค่เรียกร้องความสนใจจากมันได้ผมก็รู้สึกว่าผมชนะ คึคึ
เชนมันด่าผมก็จริงนะแต่มันยัดหมากฝรั่งเก็บใส่ลิ้นชักไว้ ผมเลยเบะปากใส่มัน
มันส่ายหัวทำท่าหงุดหงิด
“เที่ยงนี้มึงไปกินข้าวที่ไหนมา” ผมถาม
เพราะเข้ามาก็บ่ายแล้วขึ้นไปจัดการสะสางงานของตัวเอง บ่ายสามขอลงมาพักเบรคสักหน่อย
“......”
“คเชนทร์!” เมื่อถามแล้วไม่ตอบผมเลยเรียกมันอีก
“มึงเกี่ยวไรด้วย”
“กินที่ไหน” ผมดื้อ
“ชั้นสองไง” มันตอบแบบส่ง ๆ
“กินกับใคร”
“ยุ่ง”
“กินกับใคร” ผมถามอีกครั้งลากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ค่อย
ๆ กระดื๊บๆเข้าไปหามัน โต๊ะมันกับปิงติดกันมาก เก้าอี้เข้าไม่ได้ ผมเลยได้แต่นั่งจ้องมันที่ด้านหน้า
“ว่าไงล่ะ มึงไปกินกับใคร” ไอ้โต๊ะมันก็ร๊กรก
ผมผลักๆหน้าจอให้หันไปทางซ้ายอีกนิดคือมันบังใบหน้าเชนไปเกือบหมด
“กูไม่ตอบ”
มันทำหน้านิ่งตอบกวนโทสะผมมากจริง ๆ ก็รู้หรอกอารมณ์ตัวเองสาวน้อยมากไปหน่อย
แต่ผมก็แค่ยากรู้เรื่องของมันนี่
“ปิง” ผมเรียกน้อง หันขวับไปหา
เจ้าปิงเงยหน้ามองผมหน้าตาตื่นเพราะโทนเสียงผมเริ่มเปลี่ยน ตาปิงสวยมากนะคุณรู้ยัง
มันเป็นเด็กที่ตาโตมาก ๆ
“กินกับผมครับ พี่เชนกับผมลงไปกินด้วยกัน”
“แล้วไป”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”เสียงเชนมันบ่นออกมา
ถึงจะเบามากแต่ผมได้ยินเหอะ
“เหี้ย กูโทรหาไม่เคยจะรับหรอก”
“ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องโทร”
ผมทำมือเป็นปูไต่ ค่อย ๆ ไต่ๆไปหามันจนเกือบจะถึงแป้นคีย์บอร์ดแล้วไต่กลับทำแบบนี้อยู่หลายรอบ
มันตวัดสายตามองมาเขียวปั๊ด
คุณต้องเข้าใจว่าโต๊ะสองคนนี้คือเต็มไปด้วยเครื่องและอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มากมาย
บางครั้งมันใช้หน้าจอหลบหน้าผม ผมก็ปัดๆหน้าจอให้ได้ตำแหน่งดี ๆ
เจอมันจิ๊ปากใส่มาทุกครั้ง
“มึงมันใจร้าย”
ผมต่อว่าแล้วนั่งเงียบ จริง ๆ
เมื่อเช้าผมเข้าบริษัทสายเพราะเจอเจ้าเอย์อยู่ที่บ้านเราคุยกันสองสามเรื่อง
พอจะรู้ความลำบากของมันกับปิงอยู่เหมือนกัน
ช่วงบ่ายผมเข้ามาเคลียร์งานอยู่ที่ห้องจนเสร็จคิดถึงหมายักษ์บางตัวเลยเดินลงมา
ไอ้ครั้นจะเดินลงมาเฉย ๆ ก็ดูท่าจะแปลก ๆ ผมเองก็อายปิงมันเหมือนกันเพราะงั้นเลยให้เลขาไปซื้อขนมลูกอมจากชั้นสอง
แคนทีนและร้านค้าของบริษัทขึ้นมาให้
เสียงต๊อกแต๊กจากคีย์บอรด์และเมาส์ ยังดังเบา
ๆ อยู่ที่ห้อง จะว่าไปห้องนี้เย็นจัดเอามาก ๆ
ไม่มีพนักงานคนอื่นอยู่เวรวันนี้มีแค่คเชนทร์กับปิงเท่านั้น
สายตาสองคนที่จดจ้องอยู่กับหน้าจอ ผมรู้สึกได้ถึงความตั้งใจของเขาทั้งคู่มาก ๆ ปิงเลื่อนเก้าอี้เข้าไปหามันยื่นแฟ้มบางอย่างให้ดู
เชนกาอะไรลงไปสักอย่าง
ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพอสองคนนี้อยู่ด้วยกันทำงานด้วยกันแล้วมันใช่มาก ๆ
คือแบบความตั้งใจเหมือนส่งออกมาจากปณิธานและจิตวิญญาณของเขาทั้งคู่จริง ๆ
พวกโปรแกรมเมอร์มักเป็นแบบนี้เสมอ??
จริง ๆ แล้วเวลานี้ยูเซย์ค่อนข้างเป็นบริษัทรับออกแบบและติดตั้งระบบฯที่ดังและประสบความสำเร็จมากทีเดียว
ยิ่งช่วงหลังมานี่มีข่าวว่ากำลังผลิตซอฟแวร์ให้กับบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่อย่างอัศว
ยูเซย์ยิ่งมีแต่คนอยากจะได้ตัว
เอย์มันเคยบอกด้วยนะว่ามีบริษัทร่วมทุนของญี่ปุ่นมาทาบทามปิงให้ไปทำงานด้วยแต่พอรู้ว่าปิงเองก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของยูเซย์ทางนั้นเลยต้องวางมือไป
น้องอายุเพิ่งจะแค่นี้แต่ก็มีพรสวรรค์และเก่งมาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาไม่เคยได้เรียนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จริงจัง
ทุกอย่างศึกษาเองทั้งหมด ปิงเคยบอกผมครั้งนึงว่าคเชนทร์เป็นเหมือนอาจารย์ของมัน
RRRRRRRRR
RRRRRRRRRRRRRRRRR
“สวัสดีครับ ไอที”
โทรศัพท์สายภายในดังขึ้น
คเชนทร์เป็นคนรับสาย พูดอะไรกับปลายทางสักอย่างจนสุดท้ายบอกลาแล้ววางลง
“ปิง มึงลองดึงข้อมูลเครื่องของชั้นเก้าทั้งหมดมาดูซิ”
“ชั้นไหนนะครับพี่เชน” ปิงขยับตัวมาที่เครื่องตัวเองแล้วจัดการ
“ชั้นเก้า งานวิศวกรรม
เห็นว่าโปรแกรมมีปัญหา”
“โอเค”
เสียงมันเชื่อมโยงข้อมูลทั้งจากมือแป้นคีย์บอร์ดและเม้าส์
สองมือของปิงทำงานเร็วมากจนน่าตกใจ เสียงต๊อกแต๊กๆๆๆดังรัวออกมา หน้าจอสลับเพจไปมาวุ่นวาย
ในที่สุดแช่อยู่ที่หน้าจอนึง
“อืม...ตัวไหนน๊า...อืม มีบัคโผล่มาด้วย....อ่าเจอแล้ว....เดี๋ยวจะเก็บกวาดให้หมดเลย”
“ขึ้นไปดูให้เขาหน่อยละกัน
คนนั้นน่ะเขาโทรลงมา เจาะจงตัวมึงเลยนะ”
“คนไหนครับพี่เชน” ปิงหันไปถาม
“เขาบอกว่าชื่อ ปูน เดี๋ยวมึงรู้เอง
เขาว่าจะรอมึงอยู่ที่นั่น
ขึ้นไปดูหน่อยละกันเครื่องคงแฮงค์จริงแหละ เจอบัคไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ ได้ครับเดี๋ยวผมขึ้นไป”
ปิงลุกขึ้นหยิบมือถือที่วางอยู่
น้องค้อมหัวให้ผมแล้วขอตัวเดินเลี่ยงออกไป
“ใครวะ ปูน?” เมื่อประตูห้องปิดลงแล้วผมหันมาถามมัน
“.......”
“นี่คเชนทร์กูถามมึงอยู่นะ
ใครที่ชื่อปูนน่ะ”
“ไม่รู้”
“อ้าวไม่รู้ยังไงมึงเรียกน้องให้ขึ้นไปหา
ไหนว่าอยู่ชั้นเก้า ลูกน้องไอ้เอย์เหรอทำไมถึงเจาะจงให้ปิงขึ้นไป มีอะไรรึเปล่า”
“กูไม่รู้”
“คเชนทร์!”
“ปิงมันเคยทำกาแฟหกรดเสื้อผ้าเจ้านั้น
มันสองคนเลยรู้จักกัน เพื่อน ๆ รุ่นปิงมันนั่นแหละ”
“แน่ใจว่าแค่เพื่อน
เจาะจงให้ปิงขึ้นไปทำไม เป็นมึงก็ได้ไม่ใช่??”
“อันนี้กูไม่รู้”
ผมคิ้วขมวดนิดๆ
จะว่าผมคิดมากมันก็คงจะใช่แต่ปิงมันน้องสะใภ้ผมนี่
“คิดมาก บ้าเร็วนะ รู้ยัง?”
“ไอ้.....!” ผมจะด่าก็ด่าไม่ออก มันพึมพำของมันเองเบา ๆ
แต่กระทบผมเข้าแบบเต็ม ๆ จะว่าไปปิงมันไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเท่าไหร่นอกจากวุฒิกับบาสบางทีอาจจะมาเจอเพื่อนดี
ๆ สักคนที่นี่ก็เป็นได้
ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยออกจากหัวแล้วมองคนที่กำลังตั้งหน้าอยู่กับเครื่อง
ตอนนี้เหลือเราอยู่ในห้องกันแค่สองคน
เอาเป็นว่าผมจะพูดธุระจริง ๆ
ของผมเลยแล้วกันความจริงแล้วลงมาหามันวันนี้ก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้ เมนหลัก
“นี่ อาทิตย์หน้ากูจะรับงานถ่ายแบบหนังสือนะ”
“.........”
“มันเป็นงานครบรอบสิบปีของหนังสือหัวใหญ่
พี่เขาช่วยกูตั้งแต่เข้าวงการใหม่ ๆ เขาขอให้กูถ่ายแบบครั้งนี้ให้ แต่จะออกแนว...เอ่อ
เน้นโชว์รูปร่างนิด ๆ น่ะ”
มันหยุดมือลงทันที ตวัดสายตามาที่ผม
“แล้วยังไง?” เสียงเหวี่ยงฉิบหาย
“ไปถ่ายที่กระบี่ คอนเซปคือ ‘คู่รักข้าวใหม่ปลามันฮันนีมูนริมทะเล’ กูก็คงใส่กางเกงว่ายน้ำ กับนางแบบที่ใส่บิกินี่น่ะนะ”
มันเงียบไปเลย
จ้องผมตาเขียวแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมนี่ดิ่ ยั่วมันแหละใจเต้นตุ่บๆ บอกเลยกัดฟันทำหน้าซื่อๆสุดผมเก่งอยู่แล้วเนียนมากไม่ต้องห่วง
“กูก็แค่อยากบอกให้รู้
กลัวมึงคิดมากว่ากูหายไปไหน บอกให้รู้ไว้ก่อนดีกว่า”
“กูนี่เหรอจะคิดมากถ้ามึงจะหายไป” รอยยิ้มยียวนผุดขึ้นที่มุมปากมันขณะที่รอยยิ้มผมหายวับไปกับตา ผมมองค้อนมัน
ไอ้ตัวใจร้าย คำพูดมึงจะตรงไปไหน เดี๋ยวผมจะยั่วมันให้ถึงที่สุดเลยเอาดิ๊~
“มึงก็รู้ใช่ไหมล่ะ คอนเซปคู่รักฮันนีมูนมันเป็นยังไง
กางเกงว่ายน้ำที่กูใส่มันก็ไม่เชิงเป็นแบบสปอตหรอก ถ้าตกลงว่ารับ กูว่าจะไปฟิตติ้งเย็นนี้
พี่เขาเลยส่งรูปเสื้อผ้ามาให้ดูก่อน มันก็กางเกงในชายธรรมดาเลย เน้นแบบเซ็กซี่โชว์ขนอ่อนที่หน้าท้อง
ซิกแพคไรแบบเนี๊ยะ แล้วก็คงมีอุ้ม มีกอด มีจูบที่แก้ม แล้วก็มีซบที่อกน้องนางแบบเขาด้วย”
เอาล่ะเว๋ยยยย มันทำเสียงฮึดฮัดในคอ พิมพ์อะไรอยู่ไม่รู้กดปุ่มดีลีทนับครั้งไม่ถ้วน
ลีทแล้วลีทอีกไม่ได้ดั่งใจมันหน้าตานี่เครียดมาก
ผมไม่รู้มันรำคาญผมพูดมากหรือไม่พอใจที่ผมจะไปถ่ายแบบวาบหวิวอะไรนั่น
แต่ผมจะมองในแง่หลังไว้ก่อน หึ ขอยั่วอีกนิดเถอะวะ
หน้าตามันกำลังได้ที่คิ้วเข้ม ๆ นี่ผูกติดกันจนจะเป็นโบว์แล้ว
ผมแสร้งทำเสียงอ่อยๆน่ารักน่าเอ็นดู
“ก็ถ้ามึงไม่ว่าอะไร กูจะได้รับๆพี่เขาไป นางแบบสวยด้วย ข้อเสนอก็ดี
รีสอร์ตที่พักอะไรก็สวย บรรยากาศก็เป็นใจ กูก็.......”
“มึงจะรับงานอะไรก็เรื่องของมึง
ไม่จำเป็นต้องมาบอกหรืออธิบายอะไรให้กูรู้หรอกซีซ่าร์” มันโพล่งขึ้นมา ผมชะงักกึกเลย
“แม่ง” ลุกพรวดยืนขึ้น คำตอบของมันไม่เหนือไปจากความคาดหมายเท่าไหร่นักหรอก
แต่ไม่คิดว่ามันจะตรงเผงขนาดนี้
พยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
“มึงนี่มันเย็นชาเกินไปแล้วมั้งเชน”
“ก็แล้วจะทำไมล่ะ” มันเงยหน้าถามเหมือนทุกอย่างเป็นเพียงแค่เรื่องธรรมดา
ผมถึงกับหมดความอดทน โพล่งสิ่งที่ไม่สมควรพูดที่สุดออกไป
เรื่องระหว่างผมกับมัน...
“ถามจริง ๆ เรื่องคืนนั้นของเราไม่มีความหมายกับมึงเลยหรือไง”
“.......”
“มึงกอดกูแล้ว”
“........”
“ทั้งที่มึงจะพากูไปส่งที่โรงแรมก็ได้แต่มึงก็ไม่ทำ
เลือกที่จะพากูกลับไปค้างที่ออฟฟิศมึง”
“........”
“ทำไมต้องทำตัวเย็นชากับกูขนาดนี้ ทั้งที่คืนนั้นมึงยัง....
“มึงเรียกร้องเอง” มันสวนขึ้น
เงยหน้าจ้องผม
“ใช่! กูเรียกร้องเอง”
“ผ้าปิดตาวันนั้น มึงก็เป็นคนผูกให้กูเอง”
“....ใช่ กูผูกเอง”
ผมหลับตาลงแน่น นึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น
คเชนทร์ที่ถูกปิดตาเอาไว้ไม่สามารถมองเห็นอะไรสักอย่าง
มันคร่อมอยู่บนตัวผม
ผมยกมือขึ้นไปลูบแก้มมันก่อนที่จะสอดเข้าที่ท้ายทอย
ค่อยรั้งตัวมันลงมา
เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ.....
“จินตนาการสิ คิดว่ากูเป็นเขาคนนั้น”
“จูบสิ กอดกู คิดว่ากูเป็นเขาคนนั้นของมึง”
“เรียกชื่อเขาสิ
เรียกอย่างที่มึงคิดอยากจะเรียกมาตลอด”
เป็นผมเองทั้งนั้นจริงอย่างที่มันว่า คเชนทร์ใจร้ายมาก ผมส่ายหน้าอย่างไม่คิดจะยอมรับ หันหลังแล้วก้าวเดินห่างออกมา ขณะมือจับอยู่ที่ลูกบิดประตู เสียงทุ้มจากด้านหลังกลับดังขึ้น
“กูไม่สนใจว่ามึงจะรับงานแบบไหนยังไง
แต่ว่า...ถ้ากูเห็นมึงถ่ายแบบอย่างที่มึงว่าออกมา กูจะชกหน้ามึงเอาให้เขียวไปถ่ายแบบถ่ายเหี้ยอะไรของมึงอีกไม่ได้อีกต่อไปเลย”
ผมหันขวับกลับมาทันที เราสองคนสบสายตากัน มันไม่พูดผมเองก็ไม่พูด ผมไม่ยอมหลบหรอก ขอจ้องจนกว่ามันจะอายผมไปเลย
คำพูดของมัน บ้าที่สุด หัวใจที่กำลังเต้นแรงเกิดมุมเล็ก
ๆ ที่จุดรอยยิ้มมุมปากจากผมได้
“นี่คือคำสารภาพรักจากมึงงั้นดิ่?”
“ประสาท” มันว่าแล้วเบนสายตาไปที่หน้าจอ
“กูชอบมึงนะ ชอบปากเก่ง ๆ
ของมึงนี่แหละ” ผมปราดเข้าไปถึงตัวมัน เชยคางมันขึ้นมา โดนปัดมือออกแรงมาก
เจ็บระบมจนต้องสลัดๆ
“แต่กูไม่ชอบมึง เสียใจด้วย”
“คึคึ ทำไมมึงพูดคำนี้แล้วกูรู้สึกว่ามันน่ารักดีวะเชน
นี่มันคำสารภาพรักชัด ๆ”
“บ้าไปแล้วดิ่มึงอ่ะ”
“คึ”
“เมื่อเช้ากินยามารึเปล่า”
ผมยิ้มแถมหัวเราะมันเบา ๆ ต่ออีก
“มึงจะหัวเราะทำเหี้ยเหรอ” มันตาเขียว
“คึคึ” ผมยังคงหัวเราะต่อไม่หยุด
“ซีซ่าร์!” เชนตวาด ผมเบรคจึ๋กรอยยิ้มตัวเองแทบไม่ทัน
“ไม่ชอบกู แล้วมึงกอดกูทำไม” ผมลอยหน้าถาม
“.....”
“ใช่ไหมล่ะ?
คนไม่ชอบกันเขาไม่กอดกันหรอก แค่จูบปากยังน่ารังเกียจเล๊ย”
“หึ กูว่ามึงเข้าใจอะไรผิดไปนะ ซีซ่าร์”
มันใช้น้ำเสียงแปลกๆ ทำให้ผมนึกเอะใจบางอย่าง
“ยังไง?” ผมขมวดคิ้ว อะไรกันวะเมื่อกี้ยังเหมือนถือไพ่เหนือกว่ามันอยู่เลย
ตอนนี้ท่าทางชักไม่ค่อยดี มันจะพลิกเกมอะไรใส่ผมรึเปล่า ผมเหล่ตามองรอฟังว่ามันจะพูดอะไร
“วันนั้นมึงเองที่เป็นคนผูกผ้าคาดตาให้กู
เสร็จแล้วมึงพูดว่ายังไง หื้ม ลืมคำพูดตัวเองรึไง....‘จูบสิ กอดกู
คิดว่ากูเป็นเขาคนนั้นของมึง’ มึงพูดแบบนั้นใช่ไหม”
“เออ แล้วยังไงล่ะ??”
“คำตอบง่ายนิดเดียว”
“อะไรเชน มึงจะพูดอะไร”
มันลุกขึ้นแล้วก้าวเดินออกมากึ่งนั่งกึ่งยืนพิงโต๊ะตัวเองไว้
“กูกอดคนที่กูรักไง ไม่ได้กอดมึง”
“เชี่ย! โคตรเจ็บ”
“เป็นความเจ็บที่มึงเองเต็มใจนี่ เจ็บแล้วก็จำเอาไว้ให้ดี
ๆ ถ้าวันนั้นกูไม่เมากูไม่มีทางทำเรื่องพรรค์นั้นกับมึงเด็ดขาด”
ผมกำหมัดแน่นจนมือผมสั่น หวนนึกถึงคืนนั้นที่ผมกับมัน
เอย์ตั้น ปิง บาสและวุฒิไปเที่ยวด้วยกัน
ผมเมามันเองก็ไม่ต่าง แต่เป็นมันที่ทนปิงรบเร้าไม่ไหวพาผมติดรถกลับมาดัวย
ผมบอกมันว่าไม่กลับบ้านเพราะถ้ากลับไปสภาพนี้คือโดนแน่ๆ อย่างน้อยเปิดโรงแรมนอน
แต่สุดท้ายมันพาผมกลับไปค้างที่ออฟฟิศของมัน
ผมยอมรับว่ายั่วมัน ผมคิดถึงคืนนั้นที่เชียงใหม่แล้วผมห้ามตัวเองไม่ได้จริง ๆ ผมไม่ใช่คนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาหรอกนะเพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมยอมให้คนอื่นกอด คเชนทร์ที่เมามากเหมือนกับผมพยายามผลักผมออกแล้วบอกให้ผมนอนดี
ๆ แต่ผมไม่ยอมคว้าผ้าอะไรสักอย่างที่อยู่แถวนั้นขึ้นมา แล้วบอกกับมันว่า
ขอแค่ครั้งเดียว กอดผมแค่สักครั้ง
เชนนิ่งอึ้งไปผมได้โอกาสคาดผ้าผืนยาวผูกปิดดวงตามันไว้ มันจับมือผมแล้วส่ายหน้าห้าม
แต่ผมไม่ยอม บอกกับมันว่าไม่เป็นไรขอแค่เป็นมันที่กอดผม จะกอดในฐานะของใครผมก็ยอมได้
ผมปิดตามันไว้เพราะผมรู้ว่าถ้ามันมองเห็นว่าคนที่ตัวเองกอดเป็นผม
มันอาจจะกอดต่อไม่ลง
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป อารมณ์ปรารถนาที่อยู่เหนือความคิดและสติสัมปชัญญะทุกอย่างถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เข้าควบคุม
ในที่สุด....
“จินตนาการสิ คิดว่ากูเป็นเขาคนนั้น”
“จูบสิ กอดกู คิดว่ากูเป็นเขาคนนั้นของมึง”
“เรียกชื่อเขาสิ เรียกอย่างที่มึงคิดอยากจะเรียกมาตลอด”
“เชน....อ๊ะ.....อ๊าา....ฮ.อื้อ.....อื้มมมม...”
“xxxxx”
คำพูดสุดท้ายของมันที่ผมไม่สามารถได้ยินจริง ๆ รู้แต่ว่ามันขยับปาก ชื่อของใครคนนั้นที่มันเรียก...ตอนที่เราสองคนทั้งผมและมันแตะขึ้นที่จุดสูงสุดของอารมณ์ความต้องการ เชนกอดผมแน่นมาก
“ถามจริง
ๆ วันนั้นมึงคิดว่ามึงกำลังกอดใคร”
“......”
“คเชนทร์”
“แล้วกูเรียกชื่อใครออกมาล่ะ”
ผมหลับตาลงแน่น
กัดริมฝีปากไว้
“เรียกชื่อเขาสิ
เรียกอย่างที่มึงคิดอยากจะเรียกมาตลอด”
“xxxxx”
“นึกได้รึยัง วันนั้นกูเรียกชื่อใคร”
ผมเบือนหน้าหนีอย่างขุ่นเคือง กัดฟันระงับความโกรธไว้
ผมมันโง่มากผมรู้ ยอมทำอะไรแบบนั้นทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้คิดอะไรด้วยสักนิด
แล้วพอตอนที่สำคัญที่สุดผมดันหมดสติคาอกมัน เห็นแต่ริมฝีปากที่ขยับเรียก แต่ไม่สามารถจับใจความเสียงได้เลย
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเรียกชื่อใครออกมา
“หึหึ
มึงไม่ได้ยินสินะ”
กรอดดดด
ผมกัดฟันแน่น
“น่าโมโหตัวเองใช่ไหมที่หมดสติไปก่อนแบบนั้น”
กล่องกระดาษทิชชู่ใกล้มือถูกผมคว้าขึ้นมาแล้วฟาดใส่ มันรับไว้ได้พอดี
“แต่กูว่าดีแล้วล่ะที่มึงไม่ได้ยิน”
มันแสยะยิ้มพูดต่อ
“ทำไม!”
“เปล่า ก็แค่คิดว่าดีแล้วไงที่มึงไม่ได้ยิน”
“คเชนทร์มึงบอกมานะ กูรู้จักเขาไหม
คนนั้นของมึง ชื่อที่มึงเรียกออกมา”
“......” มันยกยิ้มอีกครั้ง ยิ้มร้าย
ๆ ไม่ตอบอะไร เท้าแขนทิ้งน้ำหนักตัวยืนขึ้นเต็มความสูง
เดินอ้อมกลับไปนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่าง
“คเชนทร์?”
“จะเตือนไว้อีกครั้ง อย่าให้กูเห็นนะ
ไอ้งานถ่ายแบบที่มึงพูดมา”
“กูจะถ่าย”
“ลองดู”
“จิ๊!” ผมจิ๊ปากใส่มัน
กำลังจะเบะแถมอีกหน่อยเจอมันเขวี้ยงหมอนที่พิงหลังไว้ฟาดมาใส่หัวโคตรแรง
“ออกไปได้แล้ว น่ารำคาญ”
“ไอ้ขี้เหร่!”
ผมเหลืออดไม่รู้จะด่ามันแบบไหนถึงจะสมใจ โพล่งคำๆนี้ออกมาไม่ตั้งใจเหมือนกันแค่อยากจะให้มันเจ็บปวดหมดความมั่นใจ
ผมหล่อกว่ามันแน่ ๆ ผมมั่นใจ
มันลุกพรวดขึ้นมาอีก
จ้องหน้าผมแล้วปราดเข้าหา ผมถอยไม่รู้ตัวเลย
“เออกูขี้เหร่
คนขี้เหร่อย่างกูได้กอดคนแบบมึงก็แล้วกัน ทำไม?? ติดใจอ่ะดิ่ ชอบลีลากูเหรอ
เอากันอีกไหมล่ะ แต่โทษทีนะ ขอกูผูกตาไว้เหมือนเดิมด้วย ไม่งั้นแค่จูบมึงกูยังทำไม่ลงเลย”
“เพี๊ยะ!” ผมตีปากมัน
“ซีซ่าร์!!” มันกระชากเอาแขนผมขึ้นไปบีบ “ปากดีนักนะมึง”
“ดีน้อยกว่ามึงนะกูว่า”
เสียงมันบดฟันกรอดเลย ผมได้ยิน
“ออกไปจากห้องกูได้แล้ว”
“เออ! ไล่อยู่ได้ กูจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ
ไม่เคยรักกูหรอก น้อยใจเป็นเหมือนกันนะเว้ย เหี้ย!”
ผมเบ้หน้าใส่ สะบัดมือจะออกไป
คเชนทร์มันบ้ากระชากแขนผมเข้าหาตัว สองมือของมันประกบแก้มผมจนบู้บี้แล้วโน้มใบหน้าเอียงเข้าหา
มันจูบผมแรงมากกกกกกกดูดเอาริมฝีปากจนติดมากับปากมันก่อนจะสอดลิ้นร้อนเข้าหา
ปลายลิ้นร้ายกาจที่ไล่ต้อนเอาจนผมที่เคยจูบมานักต่อนักยังต้องอ่อนระทวย
“อื้มมมม....อะเอนนนนนนนนนนนนน”
มันจะสนใจอะไรดูดเอาดูดเอา
ผมเรียกชื่อมันไม่เป็นศัพท์ ไม่น่าไปยั่วมันก่อนเลยจริง ๆ
“อื้ออออ...” จิกมือเข้าที่อกเสื้อมันอย่างทำอะไรไม่ได้ โกยเอาอากาศพร้อมหอบหายใจหนักเมื่อตอนที่มันถอนจูบออกมา
ปลายจมูกเรายังชนกัน มันก้มเอียงอยู่อย่างนั้นจ้องหน้าผมนิ่งใกล้ชิดมาก
ผมนิ่งอยู่พักนึง ก่อนตัดสินใจผลักมันออก
ยกแขนขึ้นปาดเช็ดริมฝีปาก รู้สึกทั้งหน้าทั้งตัวชาไปหมด
ถึงจะทั้งดีใจปนตกใจแต่ก็รู้สึกอายมากเหมือนกัน
“เชี่ย! ไหนว่ามึงไม่อยากจูบ”
“กู-ไม่-เคย-อยาก ออกไปได้แล้ว”
มันคว้าลูกบิดประตูเปิดผลั๊วะออก
ผมตั้งสติได้รีบก้าวพรวดออกไปแล้วปิดประตูดัง
โครม! เอาให้มันตกใจไปเลย
สาวเท้าไปตามทางเดินมุ่งไปที่ลิฟต์
นึกถึงรสจูบรุนแรงแบบเมื่อกี้ของมัน
เหี้ยเหอะ ผมทำไมชอบวะ!?
จูบที่ร้อนแรงแบบนั้น
นี่ตกใจตัวเองมากเหมือนกันนะ
Tbc.