Tuesday, November 15, 2016

กวน T-E-E-N รัก (ภาคพันธนาการหัวใจ) Special-3








Special-3



“แคปโว๊ยยยย นักข่าวเขามารอแล้วเว้ยมึง เสร็จหรือยังวะ”

“เสร็จแล้วๆ ไปชุดนี้เลยได้ไหมล่ะ”

อาร์มองเพื่อนสนิทที่รีบร้อนก้าวขึ้นมานั่งบนรถตั้งแต่หัวจรดเท้า แคปมันลุยงานในไร่ตั้งแต่เช้ายิงยาวจนบ่ายแก่ๆ คงจะลืมว่าวันนี้มีนัดนักข่าวจากนิตยสารมาขอสัมภาษณ์และถ่ายรูป เขาโทรมาตามรอบหนึ่งแล้วและบอกให้นักข่าวคนนั้นรออยู่ที่ร้านกาแฟ ทว่ารอแล้วรอเล่าดูเหมือนแคปมันจะลืมเสียมากกว่า อาร์จึงจับรถกอล์ฟขับเข้ามาเรียกเอง

“มึงลืมใช่ป่ะ”

“เออกูลืมจริงว่ะ แต่ตอนมึงโทรมาตาม กูกำลังจัดการลูกอยู่เลยยังออกไปไม่ได้” ลูกที่แคปมันพูดถึงคือบรรดาต้นสตรอเบอรี่ลูกรักลูกโปรดของมันนั่นล่ะ

“คุณนักข่าวเขารอจนหน้าเหี่ยวแล้ว กาแฟหมดไปสามแก้วเฮียโก้เลยบอกให้กูมาตาม”

แคปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่ที่พวงมาลัยรถมาเช็ดหน้าเช็ดตา เขาหัวเราะเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิด เจ้าอาร์พูดว่าคนมารอๆจนหน้าเหี่ยวแหม่ แคปก็จินตนาการไปไกลนึกถึงใบหน้าเหี่ยวๆของคนรอแล้วเขานึกขบขันขึ้นมา คาดว่าอายุอานามจะมากพอสมควรคงต้องสำรวมกิริยาให้มากหน่อย “พี่เขาแก่ขนาดนั้นเลยหรือไงวะ รุ่นลุงเลยป่ะ”

อาร์หันมองคนถามจากนั้นฉีกยิ้มขบขันบอกกับแคปว่า “มึงไปดูเอาเองเถอะ”

พอรถจอดลงที่หน้าไร่ แคปเสยผมขึ้นแบบลวกๆจากนั้นวิ่งหน้าตั้งขึ้นไปยังร้านกาแฟ เสียงน้ำตกด้านหน้าผสานเข้ากับเสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบาที่ดังแว่วออกมา แคปผลักประตูกระจกเข้าไป ลูกค้ามีไม่กี่คนแต่โก้ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ชี้ไม้ชี้มือให้รู้ว่าคนๆนั้นนั่งอยู่ที่ตรงไหน

เจ้าแคปถึงกับอุทานขึ้นมาในใจเพราะว่าอิมเมจขัดกับที่คิดไว้ก่อนหน้านี้มาก

ไม่แก่เลยสักนิด ซ้ำยังดูหนุ่มมากๆเลยด้วย

“มาแล้วครับโทษทีที่ให้รอ คุณคือคนที่ติดต่อผมไว้ว่าจะมาถ่ายรูปลูกๆของผมใช่หรือเปล่า”

ด้วยว่ารีบร้อนเข้ามา แถมชุดที่ใส่ยังเลอะเทอะคราบดิน เหงื่อไคลไหลเป็นทาง เสื้อยืดสีขาวด้านในชุ่มโชกไปด้วยคราบเหงื่อ กระทั่งเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่คลุมอยู่ด้านนอกแบบชาวสวนยังดูเปียกปอนด์ คนถูกถามจึงสตั๊นไปหลายวินาทีอยู่

“อะ..เอ่อ..ครับ ใช่ครับ” คนตอบลอบพิจารณาคนพูดที่ส่งรอยยิ้มสดใสให้ ข้อมูลที่ได้มาบอกไว้ว่าเจ้าของไร่วัยเฉียดสามสิบที่ประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกสตอเบอรี่ในภาคตะวันออกซ้ำยังเป็นผู้บุกเบิกการเพาะปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดของภาคนี้ แต่ทว่าภูริชยังมองไม่ออกว่าผู้ชายคนนี้วัยเฉียดสามสิบตรงไหน

ดูเด็กยิ่งกว่าเขาที่เพิ่งจบมาได้สองปีเสียอีก

ภูริชเป็นช่างภาพฝีมือดี เขาเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารชื่อดังหลายฉบับตั้งแต่สมัยยังเรียน ผลงานโดดเด่น ได้รางวัลเขียนข่าวภูมิภาคยอดเยี่ยมหลายต่อหลายข่าวจนขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่ไฟแรงของกลุ่มนักสื่อสารมวลชน เขามีความสนใจด้านการเกษตรพอเพียงเป็นพิเศษ เนื่องด้วยคิดอยากจะยึดหลักคำสอนทำตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า  เพราะอย่างนั้นเขาจึงมุ่งมั่นผลักดันและทำข่าวที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรสมัยใหม่แบบครบวงจรทว่ายึดหลักความพอเพียงแต่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ผู้ชายที่กำลังพาเขานั่งรถเข้าไปชมโรงเพาะปลูกผักผลไม้ตัวอย่าง ชี้ให้ดูโน่นดูนี่ระหว่างทาง แดดยามเย็นหุบตัวลงแล้ว สายลมเบาสบายพัดโกรกจากคลองที่ขุดไว้รอบไร่ ทั้งดอกไม้หอมสวยงาม ต้นผลไม้ที่กำลังผลิดอกออกผลงามสะพรั่งเจ้าของไร่ที่คุยโน่นนี่นั่นด้วยกิริยาท่าทีสบายๆและเปิดเผยจนภูริชรู้ตัวอีกทีสายตาเขาก็จับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีอ่อนๆขยับเขยื้อนและยกยิ้มยามเมื่อแนะนำพันธุ์ไม้ให้เขารู้จัก

“ตอนนี้ลูกเงาะกำลังออก คุณมาช่วงนี้ถือว่าโชคดีมากๆครับ ทางนั้นเป็นต้นลำไย มังคุดกับทุเรียนเพิ่งออกลูกอ่อนอยู่เลย ส่วนฝั่งนี้เป็นพุทราแอปเปิ้ล ลึกเข้าไปเป็นต้นสละทั้งหมด ด้านโน้นก็มีแปลงทดลองปลูกเมล่อนญี่ปุ่นอยู่ถัดเข้าไปหน่อยนึงด้วยฮะ ผมชอบเมลล่อนมากเลย ตอนแรกก็ปลูกเอาไว้แค่กินกันในไร่ ปลูกไปปลูกมามันเยอะจนต้องเก็บขาย ถึงตอนนี้ผลผลิตมีไม่พอขายเสียแล้วล่ะครับ”

แคปเล่าไปหัวเราะไป เขาหยุดรถเพื่อให้ภูริชได้ถ่ายรูปได้สะดวก หลังจากนั้นพอเห็นว่าคุณนักข่าวได้ภาพที่ถูกใจมาหลายภาพแล้ว เจ้าของไร่จึงเดินไปโน้มกิ่งเงาะแล้วเด็ดลูกสีแดงสดออกมาหนึ่งพวงเล็กๆ ยื่นให้

“ไม่ได้ฉีดยาหรอกครับ ผลไม้ของที่นี่ทานสดได้ทุกลูก เดี๋ยวผมกินให้ดูนะ”

ทั้งขับรถทั้งแกะเงาะ พอกินเสร็จหันมาส่งยิ้มตาหยี มิหนำซ้ำยังยื่นอีกลูกที่กองอยู่บนตักส่งให้เขากินด้วยกันเสียอีก

“หวานไหมครับ”

ภูริชพยักหน้าราวต้องมนต์ แคปหันไปส่งรอยยิ้มละไมให้อีกหน “ต้นเมื่อกี้พรุ่งนี้คนงานจะเข้ามาเก็บแล้วล่ะครับ สุกกำลังได้ที่ ผลไม้นี่จะส่งที่ตลาดผลไม้กลางของระยองเลย ถ้าคุณชอบทานเดี๋ยวขากลับผมจะเด็ดให้สักสองสามกิ่งเอากลับไปกินด้วยดีไหมครับ”

ได้ยินเจ้าของไร่พูดจาใสซื่อเสียจนภูริชคิดไม่ลงว่าคนๆนี้กำลังเอาอกเอาใจเขาอะไรแบบนั้นหรือเปล่า จะว่าอยากให้เขาชมให้เขาถ่ายรูปก็ไม่น่าใช่เพราะเสื้อผ้ากิริยาอะไรต่าง ๆ ไร้เดียงสาเป็นธรรมชาติมากๆ ทั้งหล่อและมีเสน่ห์ ดูไม่ใส่ใจกับเลนส์กล้องหรืออะไรของเขาเลย

รถกอล์ฟขับผ่านบ้านหลังเล็กสีฟ้าน่ารักแคปก็บอกกับเขาว่านี่คือบ้านของคุณอาร์คนดูแลไร่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมานาน

“คนที่บอกให้คุณขึ้นไปรอผมที่ร้านกาแฟนั่นไง”

“อ้อครับ” คนฟังพยักหน้า

“อาร์เป็นเพื่อนผมเอง เขาเป็นผู้จัดการไร่ของที่นี่ ดูแลเรื่องผลไม้ทั้งที่คัดส่งโรงงานและที่คัดเพื่อส่งออกตลาดที่จีนครับ เขาเก่งเลยล่ะ”

ภูริชพยักหน้าเบาๆอีกหนฟังคนตัวเล็กกว่าเขาพูดโน่นนี่ให้ฟังไปเรื่อย ปกติเขาเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยากยังรู้สึกถูกชะตาด้วย คุยไปคุยมาไม่รู้ว่าของกินกองเต็มตักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรถมาจอดลงที่หน้าโรงปลูกผัก คนขับอย่างแคปรีบเก็บเปลือกเงาะไปทิ้งถังหมักปุ๋ยชีวภาพทันที ก่อนวิ่งกลับมายังนักข่าวหนุ่มแล้วทำหน้าตื่นๆ

“ผมลืมแนะนำตัวไป ผมคาปูชิโน่ครับ คุณเรียกผมแค่แคปก็ได้ ผมดูแลไร่นี้อยู่ เป็นคนที่คุณจะมาสัมภาษณ์นั่นแหละครับ”
ภูริชรู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าแปลกพิลึกมาก ถึงตอนนี้เพิ่งจะมาแนะนำตัว เขาเองก็แนะนำตัวกลับไปเช่นกัน ดูท่าว่าสองคนที่ดูเหมือนจะรู้จักกันแล้วถึงขั้นนั่งรถมาด้วยกันแกะเงาะให้กันกินซ้ำยังจะเอาทุเรียนมาฉีกให้เขากินด้วยซ้ำ เพิ่งมาแนะนำตัวเป็นอย่างทางการ

ภูริชมองไปรอบๆโรงเพาะปลูกอย่างใจเย็น สองมือกระชับกล้องถ่ายรูปแบบมืออาชีพเล็งไปในจุดที่เขาเห็นว่าน่าสนใจ พลางเตือนตัวเองว่าต้องไม่ลืมว่าตอนนี้เขามาทำงาน ไม่ใช่มาเที่ยวจะมัวมาสบายอกสบายใจราวกับได้เพื่อนใหม่แบบนี้มันไม่ค่อยถูกต้องนัก

ถึงจะมัวแต่ฟังคุณเจ้าของไร่คุยเพลินๆก็เถอะ

“เดี๋ยวผมขอถ่ายรูปหน่อยนะครับ”

“ตามสบายเลยครับ”

แคปยืนรอเฉยๆไม่รู้จะทำอะไรดึงใบเรดโอ๊คขึ้นมาเคี้ยวเล่น เรื่องของเรื่องคือหิว ข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องนั่นเอง  รอจนภูริชเก็บภาพด้านในจนพอใจ ต่อเนื่องออกมาถึงด้านนอก ก่อนขึ้นรถแคปยังวิ่งไปเด็ดกิ่งเงาะมายื่นส่งให้เขาถือไว้อีกหน แคปพาหนุ่มชาวกรุงนั่งรถเข้าไปลึกอีกนิด ที่กลางไร่มีโรงเพาะปลูกลูกรักของเขาอยู่ สตอเบอรี่สีแดงสุกปลั่งไปทั่วทั้งโรงปลูก พร้อมเก็บชิมได้ทันที

แคปเดินนำยิ้มกว้างพาเข้ามาชม เสียงกดชัตเตอร์ดังรัวๆราวกับเจ้าของกล้องอดใจไว้ไม่ได้ เจ้าของไร่อย่างแคปเผลอยิ้มกว้างขวางด้วยความภูมิใจ พอรู้ว่ามีคนชื่นชมลูกๆของเขาอย่างไรเสียก็อดปลาบปลื้มใจไม่ได้หรอก บรรดาคนงานที่ทำงานอยู่แถวๆนั้นเห็นเจ้านายอารมณ์ดีก็พลอยยิ้มตามไปด้วย

แคปเป็นคนที่ยิ้มแล้วหล่อขึ้นอีกสามกอง จากที่หล่ออยู่แล้วยิ่งหล่อไปอีก ยิ้มทีนึงเหมือนดอกไม้จะบานไปทั้งโลก บางทีเขาอาจจะยังไม่รู้ตัว มีแค่ภูริชเท่านั้นที่กำลังคิด ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าแคปไม่รู้เรื่องแน่ๆ

“ชิมดูสิครับ” แคปเด็ดผลสดออกมาหนึ่งลูกแล้วยื่นให้ ภูริชชะงักไปนิดๆ ก่อนรับมาถือไว้ แคปเห็นแบบนั้นจึงเด็ดออกมาอีกลูกแล้วกินให้ดูก่อนเป็นตัวอย่าง

“ย้ำอีกครั้ง ไร้สารครับรับรอง ผมกินให้ดูนะ”

ว่าแล้วก็กินโชว์แถมยังทำหน้าทำตาเปรี้ยวจี๊ดจนคนตรงหน้าหัวเราะร่วน

สรุปว่ากว่าจะได้ออกมาจากไร่กันก็เย็นย่ำ เขาสองคนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว อาจเพราะความรักชอบในต้นไม้ใบหญ้าเหมือนๆกัน

อาร์ถึงกับยืนกอดอกมองสองคนแล้วขมวดคิ้วด้วยความนึกห่วง ใครที่รักชอบต้นไม้ใบหญ้าก็เข้ากับแคปมันได้หมดนั่นแหละ

“คุณอาร์จ้องอะไรหรือครับ”

อาร์สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มทักขึ้นจากด้านหลัง นายโชนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่รู้ ทว่าตอนนี้สองคนยืนมองแคปกับนักข่าวอย่างภูริชนั่งคุยอะไรบางอย่างกันอยู่

“นั่นเป็นนักข่าวที่มาสัมภาษณ์คุณแคปหรือครับ” โชนถามขึ้น

“ใช่” อาร์ตอบพยักหน้าเบาๆ สีหน้ายังแสดงความกังวลไม่ต่างจากนายโชนที่กำลังนึกว่าจะโทรบอกเจ้านายเขาดีหรือไม่

“เขาสัมภาษณ์กันแน่เหรอครับคุณอาร์ ทำไมคุณนักข่าวนั่นนั่งจ้องคุณแคปแล้วยิ้มใหญ่เลย”

“ผมก็กำลังคิดอยู่ว่ะนายโชน” น้ำเสียงอาร์เครียดมาก

โชนมองตามไปเห็นทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรส กระทั่งคุณโก้เดินเอาของว่างมาวางลงให้แล้วนั่งคุยร่วมด้วย สองคนที่มองอยู่ค่อยถอนใจโล่งอกก่อนแยกย้ายกันไปทำงาน

อาหารเย็นถูกจัดเสิร์ฟเร็วกว่าปกติ เพราะโก้เลี้ยงรับรองภูริช

ในวงอาหารมีแค่โก้ แคป ภูริช และอาร์ สี่คนเท่านั้นนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะไม้หน้าบ้าน อาร์ทานได้แค่แปปเดียวก็มีเด็กมาเรียกไปดูระบบไฟที่สะพานเชื่อมทางเข้าสวนฝั่งตะวันตก เห็นว่าไฟของน้ำพุแถวนั้นเสีย ก่อนไปยังบอกแคปให้เก็บของชอบเอาไว้ให้ด้วยเดี๋ยวจะกลับมาเอาไปกินที่บ้านหลังเล็กของเขา แคปพยักหน้าบอกรับทราบขณะที่โก้เดินเข้าไปเอาแตงเมล่อนสีเขียวหยกออกมาฝานแล้ววางลงให้เป็นชิ้นๆ น่ากินมาก

“ปลอดภัยไร้สาร” แคปพูดสั้นๆหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วยักคิ้วแบบกวนๆท้าทายให้ภูริชลองกิน โก้เห็นแบบนั้นถึงกับส่ายหัวบอกลูกชายว่าเดี๋ยวเขาจะเข้าไปตรวจเช็คที่ร้านกาแฟ สองคนนั่งทานกันไปไม่ต้องรีบร้อน คล้อยหลังคุณพ่อยังหนุ่มภูริชหยิบแตงขึ้นมาหนึ่งชิ้น พอกัดลงไปเท่านั้นความหวานของเนื้อเมลล่อนซ่านอยู่ในโพรงปาก มันอร่อยจนเขาถึงกับพ่นลมหายใจนึกขำ ว่าโตมาจนป่านนี้ทำไมถึงเพิ่งได้ค้นพบว่าความเป็นธรรมชาติ ความเพียงพอ วิถีการกินอยู่แบบเรียบง่าย ปลูกเองเพื่อรับประทานถ้ามีเหลือจึงจะนำออกจำหน่ายนั้น มันช่างยั่งยืน อิ่มใจ ทำให้เขามีความสุขได้จริงๆ


“มีความสุขที่ได้เงินน่ะก็ใช่ แต่ผมภูมิใจและมีความสุขมากกว่าเมื่อมองเห็นสิ่งที่ผมปลูกมากับมือเจริญเติบโตขึ้น”


“เหมือนเราค่อยๆเฝ้ามองเขาเติบโตขึ้นทุกวัน”


“คุณอาจไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดผมนะ  ลองสิ ลองปลูกดูสิครับ ที่บ้านคุณก็ได้”


“ผมรักอาชีพเกษตรกร รักพืชผักผลไม้ ธรรมชาติพวกนี้คือความสุขใจของผม..”



ระหว่างทางออกมาจากไร่แคปพูดกับเขาแบบนั้น..ช่างเป็นคำพูดที่น่าประทับใจจริงๆ

ลมเย็นๆพัดเอากลิ่นดอกไม้โบราณหอมกำจายไปทั่วทั้งไร่ ภูริชชื่นชอบความรู้สึกแบบนี้จนขนลุก ความธรรมดา ความเป็นธรรมชาติ สิ่งที่หาไม่เคยได้จากกรุงเทพ  เป็นครั้งแรกที่อยากอยู่เสียที่นี่ไม่อยากกลับเข้ากรุงอีกแล้ว

“ถ้าผม...จะขอมาเที่ยวที่นี่อีกเป็นครั้งคราว จะได้หรือเปล่าครับ”

แคปที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงักไปนิด ปกติคุณนักข่าวพูดน้อยมาก นอกจากคำถามที่จะเก็บข้อมูลลงหนังสือก็เห็นจะมีแต่คำถามนี้ที่แคปคิดว่าคงกลั่นกรองออกมาจากภายในใจ แคปส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้ารัวๆ “ได้สิครับได้ๆ คุณจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น”

คนกรุงหลายคนแล้วที่ตกหลุมรักที่นี่ ติดใจจนไม่อยากจะกลับบ้านเลยก็มี บางคนถึงขนาดขอซื้อบ้านพักที่กลางไร่ไว้พักผ่อนกับครอบครัว

แต่ทว่าที่ไร่แห่งนี้เชยชมได้แต่ห้ามไม่ให้เป็นเจ้าของ นั่นคือคอนเซ็ปหลัก

“ผมชอบที่นี่มากเลย ชอบวิถีชีวิตแบบนี้”

แคปยิ้มอีกครั้ง ภูมิใจกับไร่ของเขาจนตัวจะลอย เขาตักอาหารขึ้นชื่อของภาคใส่จานให้แขก“คุณน่ะจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ครับ ถ้าชวนเพื่อนชวนแฟนหรือชวนครอบครัวมาด้วยพวกเราก็มีที่พักให้” แคปชี้ไปที่อีกฝั่งของไร่ เลยเนินขึ้นร้านกาแฟไปนิดเดียว “ฝั่งโน้นทั้งฝั่งเป็นบ้านพักรับรอง คุณมาได้ตลอดเท่าที่ต้องการเลย”

ภูริชมองตาม โคมไฟกลมๆสีส้มราวกับดวงจันทร์เรียงรายเป็นทางเดินยาวเข้าไปตลอดทั้งแนว กระทั่งสะพานข้ามคลองยังสะท้อนลูกไฟดวงเล็กๆที่ประดับไว้อยู่รอบสะพาน กิ่งลั่นทมไหวเอน ดอกสีขาวร่วงกราวไปตามกระแสลมอ่อน

“แต่ถ้าเป็นฤดูท่องเที่ยวคุณโทรมาบอกก่อนจะดีมากเลยครับ ผมจะได้กันไว้ให้ แล้วจะลดราคาให้นะ ไม่ฟรีไม่ฟรี ฮะๆ” เจ้าแคปที่ยังหน้าเลือดไม่เปลี่ยน พูดปนหัวเราะจากนั้นก็ยิ้ม

ภูริชเห็นความจริงใจแบบนั้นเขาถึงกับหัวใจกระตุก มีความรู้สึกอีกครั้งว่าคงต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ๆเร็วๆนี้ด้วย

“เดี๋ยวพอนิตยสารวางแผง ผมจะขับรถเอามาให้คุณด้วยตัวเอง แล้วจะมาขอพักสักคืนสองคืนนะครับ”

แคปพยักหน้ารัวๆโบกมือว่าให้เลิกเรียกคุณแคปได้แล้วเรียกแค่พี่แคปเฉยๆก็ได้ เขาเองก็จะเรียกแค่ภูเหมือนกัน สองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ

ถึงเวลาที่ภูริชสมควรต้องกลับ เขาชักอยากจะขอให้เวลาเดินช้าลงอีกนิดทว่าอย่างไรเสียก็ต้องเอ่ยลา แคปพาคุณนักข่าวหนุ่มขึ้นไปไหว้ลาเฮียโก้ ได้ทั้งผลไม้ทั้งผักออแกนิกส์ใส่ท้ายรถไว้ให้

“ขอบพระคุณมากครับคุณโก้”

“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร” โก้โบกมือ “ว่างเมื่อไหร่ก็แวะมาอีกนะครับ ไม่ต้องมาเรื่องงานหรอก แค่คุณแวะมาเยี่ยมพวกเราก็ดีใจแล้ว”

ภูริชยกมือไหว้อีกครั้ง โก้ให้แคปเดินออกไปส่งแขกที่รถ นายโชนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงเดินติดตามไปด้วยแบบห่าง ๆ เพราะว่าภูริชจอดรถไว้ค่อนข้างห่างจากหน้าบ้านมากพอสมควร

“วันนี้ขอบคุณมากจริงๆนะครับ เดี๋ยววันหน้าผมต้องขอมารบกวนพี่อีกแน่ๆ” สรรพนามเปลี่ยนไปแล้ว แคปรู้สึกจั๊กจี้หน่อยๆอาจเพราะเขาเป็นน้องสุดท้องในไร่ ไม่ค่อยคุ้นชินกับการโดนเรียกว่าพี่นัก พอได้ยินจึงรู้สึกแปลกๆ

แต่แคปก็ยิ้มแล้วส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร  “นู๋ภูขับรถดีๆนะครับ กว่าจะถึงกรุงเทพคงดึกเลย”

ในเมื่อฝ่ายนั้นเรียกเขาว่าพี่แล้ว ทางนี้ก็เรียกน้องหนูกลับไปซะเลย คะเนอายุน่าจะน้อยกว่าเขาไม่ต่ำกว่าห้าหกปีแหงๆ
คนถูกเรียกทำหน้าเหรอหราขึ้นมา แคปจึงหัวเราะ

ภูริชส่ายหัวให้กับความเจ้าเล่ห์ของอีกคน โดนต้อนเรียกหนูภูจนได้ หน้าตาท่าทางเขามันอ่อนหัดขนาดนั้น?? แคปเห็นสีหน้าแปลกๆของคุณนักข่าวก็หัวเราะร่วนยกมือบอกขอโทษๆ เขาแค่หยอกเล่น ภูริชเผลอยิ้มออกมาในตอนที่แคปทำหน้าตาจริงจังเพราะคิดว่าเขาไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ

สองคนมองหน้ากันแล้วก็ขำขึ้นมาอีกรอบ

“ถ้าอยู่กับคุณนี่ผมคงยิ้มทั้งวันแน่”

“ถ้าว่างก็มาเที่ยวครับ พวกเรายินดีต้อนรับ ขับรถดีๆด้วยล่ะ ดึกแล้ว” คราวนี้แคปทำสีหน้าจริงจัง มองดูเวลารู้สึกว่าเขาเล่นมากไปหน่อย

“ผมชินแล้วล่ะ ไปนะครับ” ภูริชพูดจบกำลังจะมุดเข้ารถ ทว่าแสงไฟที่เลี้ยวสาดเข้ามาจากถนนหน้าไร่ส่องหน้าเขาแบบเต็มๆจนต้องขยับหลบ รถยนต์คันใหญ่เบรกลงอย่างแรงก่อนที่คนขับจะเปิดประตูแล้วเดินลงมา ทั้งที่ยังสาดไฟหน้าไว้อย่างนั้น

แคปเห็นแล้วว่าเป็นรถใคร

เขาเดินเข้าไปหาทันที

“ทำไมมึงมาล่ะ” ถามแบบซื่อๆ ไม่สังเกตสักนิดว่าเอสหน้าบึ้งตึงแค่ไหน ดวงตาคมดุมองไปตามแสงไฟรถที่ตั้งใจสาดใส่
ผู้ชายคนที่แคปถึงกับเดินออกมาส่งพูดคุยและยิ้มให้กัน

คงเป็นคนนี้ที่เจ้าโชนมันส่งข้อความมาบอก



มองคุณแคปตาไม่กระพริบเลยครับนาย


คุยกันไปยิ้มกันไปสงสัยจะถูกใจคุณแคปน่าดูผมเห็นไอ้นักข่าวคนนั้นหัวเราะตลอดเลยคุณแคปเองก็อารมณ์ดี



ดี!!

ดีจริงๆ!!!


“เข้าบ้านแคป” เอสเลี่ยงที่จะตอบคำถามว่าเพราะอะไรเขาถึงโผล่มาในวันธรรมดาแบบนี้ หากแต่บอกให้แคปกลับเข้าบ้านไปด้วยเสียงทุ้มดุ ทว่าเจ้าแคปมันไม่สังเกตสังกาอะไรหรอก

“เดี๋ยวกูส่งแขกก่อน เออใช่  มึงปิดไฟหน้ารถก่อนสิ ส่องตาคุณภูริชเขาอยู่นะ”

ยิ่งพูดชื่อเอสยิ่งข่มอกข่มใจไว้ แคปไม่รอคำตอบเดินไปดับไฟหน้ารถให้เองกับมือ และทันทีที่ภูริชเห็นชัดๆว่าคนที่ยืนอยู่ข้างแคปคือใครเขานี่ถึงกับตกใจ

คุณเอสเธอร์

ในวงการสื่อสารมวลชนไม่มีใครไม่รู้จักคุณเอสแห่งรัชชาผู้ซึ่งเมื่อต้นปีที่แล้วเพิ่งบริจาคสินทรัพย์ให้การกุศลเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาล โดยผ่านวงการสื่อสำหรับอุปกรณ์การแพทย์เพื่อท้องถิ่นทุรกันดาร เขาเองเป็นคนถูกไหว้วานให้เขียนหัวข้อข่าวใหญ่นี้ให้

ในตอนนั้นยังนั่งฟังคำชมของผู้หลักผู้ใหญ่ของวงการที่มีต่อท่านเอสแห่งรัชชาคนนี้อยู่เลย ทำงานปิดทองหลังพระ สายเลือดข้นคลักของท่านเจ้าสัวรัชชา ในตอนนั้นมูลค่าบริจาคมหาศาลแต่กลับไม่ขอให้ลงรูปถ่ายออกสื่อ บริจาคเพียงแค่ผ่านชื่อของบริษัทเท่านั้น

“รู้จักผมด้วย?”

น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นใกล้ๆนั่นแหละภูริชถึงค่อยรู้ว่าเอสกับแคปเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น

คุณเอสคนนั้นถึงกับเดินโอบไหล่เจ้าของไร่อย่างแคปตรงเข้ามาหาเขา ภูริชยกมือขึ้นไหว้

“สวัสดีครับ ผมภูริชจากรัฐกิจรายสัปดาห์ครับ”  ทว่าเอสไม่รับไหว้ไม่พอ เขาเพียงแค่ปรายตามองด้วยแววตาสุดแสนจะเฉยเมยและเย็นชา ราวกับคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเป็นสิ่งไร้ค่าเหมือนก้อนกรวดไม่มีความหมาย บรรยากาศโดยรอบอึดอัดและแปลกไปจนแคปที่นึกสงสัยตั้งแต่เอสมันโอบไหล่เขาแล้วพาเดินนั่นแล้ว

ปกติถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆเอสจะไม่แสดงออกกับเขาแบบนี้เลยสักครั้ง ถือว่าให้เกียรติกันต่างคนต่างนั่งต่างคนต่างยืนอะไรแบบนั้นเสียมากกว่า

ทว่าไม่เหมือนกับตอนนี้

“คุณกำลังจะกลับแล้วไม่ใช่??”

คำถามฟ้าผ่าของเอสทำเอาแคปหลุดจากความนึกคิด ภูริชพยักหน้าแล้วบอกใช่ครับราวต้องมนต์

“งั้นก็กลับไปสิ” ไล่แบบตรงๆไม่มีอ้อมค้อม น้ำเสียงไม่แคร์เลยสักนิด

แคปหน้าเจื่อนรู้แล้วว่าเอสมันเป็นอะไร เขารีบพยักหน้าขอโทษส่งไปยังคนที่ยืนกำมือเย็นเฉียบเพราะว่าเจอสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งจับจ้อง

ภูริชค้อมศีรษะบอกลาอีกครั้ง เอสรีบดึงแขนคนข้างตัวให้ขยับเข้ามายืนอยู่ด้านหน้าภายในอ้อมแขนของเขา แคปรีบหันไปมอง ส่งสายตาปรามก่อนหันไปบอกกับภูริช

“ขับรถดีๆนะครับ วันนี้ขอบคุณมาก แล้วก็ขอโทษคุณด้วยครับ”

เขายังต้องรักษามารยาทของเจ้าบ้านไว้ ถึงจะโดนอีกฝ่ายล็อคตัวและแสดงออกว่าไม่เต็มใจทว่าแคปก็ยังจะส่งคำพูดขอบคุณให้กับคนที่ตั้งใจมาทำข่าวลูกๆของเขา คำขอโทษนั้นเขาหวังว่าภูริชจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ

พอรถของภูริชลับสายตาไป คนหน้าตึงถึงได้ยอมปล่อยวงแขนออกจากแคป

“มาได้ไงวะ กินข้าวกินปลาหรือยัง” แคปหันไปถาม

“หึ ถ้าไม่มาจะได้เห็นของดีหรือไง”

สาบานได้ว่าเอสมันทำเสียงค่อนแคะในลำคอ แคปส่ายหัวกับคำประชดประชัน ปล่อยเอสยืนหน้างอคอหักอยู่ข้างรถนั่นแหละ เขาเดินนำเข้าบ้านไปแล้วมันก็ยังไม่ยอมเดินตาม หันกลับไปมองก็ยืนทำหน้างอพิงรถกอดอกอยู่ที่เดิม

“จะเข้าไหมบ้านหรือจะนอนให้ยุงมาหามอยู่ตรงนี้” แคปเดินกลับมาดึงแขนคนตัวโตด้วยความรำคาญที่แสนจะแง่งอน เขาทั้งดันทั้งลาก ดึงให้เดินตาม มองเห็นนายโชนยืนอยู่ไม่ไกลจึงบอกให้โชนขับรถเข้าไปเก็บ

กว่าจะต้อนเอสเข้าบ้านได้ใช้เวลาและเรี่ยวแรงไปมากโข

ไม่นึกเลยว่าจะจัดการยากเย็นขนาดนี้ สุดท้ายคุณชายเอสแห่งรัชชาก็อยู่ในชุดนอนสีเทาเรียบร้อยหลังจากกินข้าวกินปลาและอาบน้ำอาบท่าเสร็จ

“จะให้กูง้อไปถึงไหนครับท่านเอส” นี่ก็แทบจะป้อนข้าว อาบน้ำก็ต้องอาบให้ ถูสบู่ สระผม ไม่พอเมื่อตะกี้ยังต้องเช็ดหัวเป่าไดร์ให้มันอีกด้วย

เอสทำเสียงฮึดฮัดนั่งกอดหมอนอยู่บนเตียง แคปนี่คลานแทบจะรอบตัวมันอยู่แล้ว เขาคลานซ้ายมันหันขวา เขาคลานขวามันหันซ้าย ตัวก็โตกว่าแต่นิสัยเด็กนี่เด็กฉิบหาย

“โถ น้องเอสครับ พี่แคปง้อจนหน้าเหลืองแล้วเนี่ย เห็นใจกันหน่อยซี”

เอสหันมองคนที่บอกว่าตัวเองง้อจนหน้าเหลือง เขาทำตาเขียวอื๋อใส่  “มึงต้องง้อทั้งคืนนั่นแหละ ง้อเยอะๆเลยเพราะว่ามึงเป็นคนทำผิด”

“เดี๋ยวๆกูผิดอะไรตรงไหนไม่ทราบ คุณภูริชเขาแค่มาขอสัมภาษณ์แล้วก็ถ่ายรูปลูกๆของเราเท่านั้นเอง เขาเป็นนักข่าวทำสกู๊ปเกี่ยวกับที่ไร่กูต้องพูดคุยกับเขามันก็ถูกต้องนี่หว่า กูผิดตรงไหน”

“ไม่รู้ล่ะ ง่วงแล้วไม่อยากพูด”

“มึงนี่มันเด็กไม่รู้จักโตจริงๆ”

“ใครบอกกูเด็ก”

“กูนี่ไงกำลังบอกอยู่เนี่ย”

“แล้วมึงชอบเด็กไหมล่ะ”

“....................”

“ไม่ตอบหมายความว่าไง ไอ้นักข่าวนั่นมันเด็กกว่าพวกเราหรือเปล่า เพิ่งจบแหงๆกูทายถูกใช่ไหม”

“พาลแล้วเอส มึงพาลแล้ว”

“กูพาลแน่อยู่แล้ว มึงตอบมาสิ”

“นี่อยากทะเลาะกันใช่ไหม”

“แล้วมันควรไหมล่ะ ออกไปยืนส่งผู้ชายแบบนั้น”

“ไอ้สัส กูก็เป็นผู้ชาย มีแขกมาที่บ้านกูออกไปส่งเขามันก็ธรรมดามึงคิดเหี้ยไรเนี่ย”

“จะคิดอ่ะ ใครสน”

“มึงแม่ง คราวนี้กูโกรธแล้วมึงง้อให้ได้ก็แล้วกัน” แคปเถียงคืนจนหน้าเขียว สุดท้ายไม่รู้เถียงกันอิท่าไหน กลายเป็นเอสพยายามง้อแคปซะงั้น

“ชิ!

“อย่ามาใกล้กูนะ!!! คืนนี้ไม่ให้กอดด้วยบอกเลย!!!” แคปตะโกนเสียงดังมาก จนเอสต้องมองผ่านผ้าม่านที่โบกปลิวเพราะลมธรรมชาติ ดูว่ามีใครจะได้ยินพวกเขาสองคนเถียงกันหรือเปล่า พอเห็นว่าดึกแล้วปลอดคนแค่นั้นแหละเอสลุกพรวดไปปิดไฟจากนั้นเดินเข้ามารวบตัวแคปแล้วโยนขึ้นเตียงกดสองแขนสองขาจนอีกฝ่ายร้องประท้วงน้ำตาแทบไหล

กิจกรรมการลงโทษบนเตียงเริ่มขึ้นอย่างหนักหน่วงและจบลงด้วยการที่แคปเปรอะเปื้อนไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว เหงื่อกาฬไหลโชก ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแต่เสื้อนอนที่กระดุมหลุดไปถึงพุง เสียงหอบหายใจกระเส่าดังแข่งกับความเงียบ เขาพยายามจะพลิกตัวออกทว่าคนที่กอดอยู่รวบตัวเขาไว้แล้วยกพาดบ่าพาไปห้องน้ำ

แคปดิ้นแล้วทุบเป็นพัลวัน

รอยยิ้มร้ายๆจากเจ้าของฟันกระต่ายสวยนั่น ไว้ใจไม่เคยได้

แคปโกรธจริงๆแล้ว หน้ามืด ตาเขียว หายใจแรงเฮือกๆ

เขาสู้มันสุดฤทธิ์ตายเป็นตายขณะที่เอสเปิดฝักบัวขึ้นแล้วพยายามกระชากเสื้อนอนที่หมิ่นเหม่ของแคปให้หลุดออก

ภายใต้สายน้ำฝักบัวเย็นช่ำ เอสแคปโถมจูบเข้าใส่กันและกันจนกระแสน้ำเย็นเฉียบไม่สามารถลดทอนความร้อนแรงของกามารมณ์ได้ มือใหญ่พลิกร่างที่เล็กกว่าตนให้หันเข้าไปซบผนัง ขณะที่เขาซ้อนตัวเองเข้ามาด้านหลังแล้วกดจูบไล่ลงไปตามซอกคอและแผ่นหลัง ดูดดุนจนขึ้นรอยก่อนคุกเข่าขยำขยี้กดจูบไปทั่วถ้วนสะโพกขาวนวล

แคปเสียวซ่านจนตัวสั่น ยิ่งตอนที่ถูกลิ้นหนาร้อนแสนลามกฉกจูบเปิดทางตระเตรียมให้ทุกๆอย่างพร้อมพรัก เสียงครางสุขสมเริ่มดังขึ้นจนเอสต้องลุกขึ้นมาดึงใบหน้าแดงก่ำให้เข้ามารับจูบ กายใหญ่เบียดแทรกโถมลึกเข้าไปจนสุด แคปกัดฟันจิกมือทุบกำแพงอย่างอดกลั้นและเสียวสะท้าน

“อาา...” ในตอนที่เอสเริ่มขยับแคปกระชากผมคนด้านหลังเข้ามารับจูบร้อนแรง ริมฝีปากทั้งขบกัดกันและกันอย่างลุ่มหลงและลงโทษ เอสมันแรงมาแค่ไหนเขาตอบกลับไปแรงยิ่งกว่า

กิจกรรมสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกดำเนินไปจนสุด

สาบานได้ว่าแคปมันไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าเซ็กซ์ร้อนแรงแบบนี้จะทำให้เข่ามันทรุดลงได้

“บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งรีบออกมา เดี๋ยวกูพาไป”

“ฮื้ออ อย่ามายุ่ง!” แคปปัดแขนคนหวังดีออก ไม่ยอมให้เอสพยุงกลับมาที่เตียง ทว่าคุณชายเอสมีหรือจะยอมง่ายๆรวบตัวแคปทั้งตัวไปโยนไว้ที่เตียงนอนก่อนเดินไปหยิบชุดนอนชุดใหม่มาโยนไว้ให้

“นั่งดีๆเดี๋ยวกูเช็ดหัวให้”

“นั่งไม่ไหวไอ้สัสเพราะมึงคนเดียว เพราะมึงเลย..” เจ้าแคปอาละวาดไปใส่เสื้อผ้าไป เอสกำลังยืนติดกระดุมมองผ่านกระจกบานใหญ่แล้วเขาก็หัวเราะ

“โอเคๆงั้นนอนคว่ำหน้าลงเดี๋ยวกูเช็ดหัวให้ ดึกแล้วมึงจะเป็นหวัดนะ” แคปตีมือคนที่กำลังยุ่งกับคางของเขาเสียงดังเพี๊ยะ ก่อนซุกหน้าลงที่หมอนปล่อยให้อีกคนเช็ดผมให้เบาๆ ตัวเองก็บ่นอุบอิบ

“เฮอะ จะมาห่วงว่ากูจะเป็นหวัดทำไมวะ ตัวเองยังจับกูฟัดในห้องน้ำอยู่แท้ๆ คนดีจริงเขาต้องคิดตั้งแต่ก่อนจะทำแล้วเฟร้ย! ไม่ใช่ทำแล้วค่อยมาพูด!!”

เอสหมั่นเขี้ยวจอมบ่น เขาแกล้งเช็ดหัวมันแรงๆจนแคปร้องโวยวายขึ้นมาอีกหน เอสโยนผ้าขนหนูทิ้ง ใช้ความเร็วในการดับโคมไฟก่อนโถมทั้งตัวทับลงมาใส่ จนคนนอนคว่ำหน้าอยู่ร้องโอดโอย

“กูเจ็บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบไอ้สัส!!”คนฟังหัวเราะร่วน เป่าลมเบาๆใส่ใบหูเล็ก  “เจ็บมากไหมหื้ม” แคปขนลุกจะพลิกตัวกลับมาเตะต่อยก็ทำไม่ได้

เอสหัวเราะอีกหนก่อนรวบกอดร่างที่เล็กกว่าเข้าไปจนชิดอก จากนั้นเสยๆผมที่ใกล้จะแห้งของแคปเล่นแผ่วเบา

และจูบลงที่หน้าผากหนึ่งทีอย่างรักใคร่

“ไม่อยากให้มึงอยู่นอกสายตาเลยสักนาที มึงรู้ไหม”

“ประสาท ปล่อย!

“กูจะประสาทก็เพราะมึงนี่แหละ”

“จิ๊!

โดนกดจูบไปอีกหนึ่งที แคปตาเขียว ก่อนถาม “แล้วมึงรู้ได้ยังไง จู่ๆเหยียบรถมาระยองเนี่ยนะ มีใครส่งข่าวมึงล่ะ”

“ไม่บอก”

“หนอยยยย”

แคปมันทำอะไรไม่ได้หรอก สุดท้ายคืนนั้นก็นอนกอดกันอยู่แบบนั้นแหละ หวงนักกอดเสียแน่นจนแคปนี่เหงื่อท่วมตัวต้องลุกขึ้นมาเปิดแอร์ตอนดึกๆ

กว่าจะหลับลงได้กระดูกกระเดี้ยวแทบหักเพราะโดนไอ้ยักษ์ทั้งกอดทั้งรัดอยู่ตลอดทั้งคืน








หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น

“ไอ้แคป!! ไอ้แคป!!! ไอ้แคปโว๊ยยยยยยย!!!! ไอ้หมาแคป!!!! แคปปปปปปปปปปปป!!!!!!

“อะไรของมึงวะไอ้อาร์ มึงมีเหี้ยไรหา!! เรียกกูดังนักหนาเนี่ย หูจะแตกแล้ว”

แคปละมือออกจากการตัดแต่งกิ่งดอกรสสุคนธ์ มองดูอาร์ที่จอดรถกอล์ฟได้ก็วิ่งถลาหน้าตาตื่นเข้ามาหาเขาที่ท่าน้ำ ในมือยังถือนิตยสารอะไรสักอย่างโบกไปโบกมาอย่างร้อนรน

“กูไปตลาดมา” อาร์หอบแฮ่กๆ ชูหนังสือในมือส่งให้แคปดู “เออ ไปตลาดมาแล้วทำไมวะ มีอะไรทำไมทำท่าตกอกตกใจแบบนั้น”

“ก็มึงดูนี่ มึงดูนี่..” อาร์หอบจนตัวงอ ชี้ๆลงที่หน้าปกพอเห็นว่าแคปทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจอาร์รีบพลิกหน้าหนังสือเล่มนั้นจนมือพันกัน เปิดผิดๆถูกๆ ไม่ถึงหน้าเป้าหมายสักที แคปตบบ่าเพื่อนบอกใจเย็นๆ

“มึงเป็นเหี้ยไร ใจเย็นดิ”

แคปเพิ่งสังเกตว่าหนังสือในมืออาร์เป็นหนังสือเกี่ยวกับข่าวก็อซซิปดารา ตอนแรกเขานึกว่าเป็นนิตยสารเล่มที่เขาสัมภาษณ์ไปเมื่อหลายวันก่อนเสียอีก แต่ทว่าไม่ใช่เพราะงั้นข่าวอะไรที่อาร์มันกำลังทำหน้าตื่นเต้นเสียขนาดนี้ แคปมองตาม

“เออน่า มึงดูนี่ซะก่อนเถอะ ภาพด้านหน้ามันเล็ก มึงต้องดูภาพนี้”

“อืม..” พอพลิกเปิดหน้านั้นขึ้นมาแคปถึงกับชะงักไปหลายวิ จากนั้นกระชากหนังสือเข้ามาถือไว้เอง แล้วเพ่งมองแบบชัดๆ จ้องจนคิ้วขมวด มองอย่างไม่ลดละ หัวคิ้วขมวดจนมุ่น เผลอกำหน้าหนังสือนั้นจนยับยู่ยี่ กัดฟันกรอดแล้วถามหาแว่น

“แว่นๆๆ แว่นอยู่ไหนแว่น กูไม่ได้เอาแว่นมาด้วยไอ้เหี้ยอาร์”

“อ่ะๆๆ นี่ๆเอาของกูไปใช้ก่อน” อาร์ส่งแว่นสายตาที่เพิ่งไปตัดมาเมื่อสองสามเดือนก่อนให้แคปยืมใส่ พอมองเห็นพาดหัวข่าวชัดๆรูปถ่ายชัดๆเนื้อความแบบชัดๆ และเมื่อไล่สายตาไปตรงวันที่ที่ภาพนี้หลุดออกมาแบบชัดๆมือที่กำหนังสือจนยับยู่ยิ่งขยำแน่นขึ้นไปอีก ถ้าฟาดทิ้งได้นี่ฟาดไปแล้ว

“เอาไง” อาร์เงยหน้ามองเพื่อนสนิทราวกับรอคอยคำสั่ง แคปนิ่งไปนิดๆก่อนเลื่อนสายตากลับมามองตอบแล้วถามเสียงเย็น

“มึงรู้ได้ยังไง ใครบอกมึง”

“ไอ้ปอมันส่งข้อความมา กูอยู่ตลาดพอดีเลยหาร้านหนังสือหยิบดู พอเห็นรูปนะมึงกูนี่สั่นเป็นเจ้าเข้าเลย เงินทอนค่าหนังสือยังลืมอ่ะมึงคิดดูกูรีบแค่ไหน แล้วตกลงจะเอาไงล่ะ”

หึ..แคปแค่นเสียงฝืดขมในคอ เรียกว่าข่มใจยังน้อยไปสำหรับภาพแอบถ่ายแบบนั้น ไม่รู้ว่าเมืองไทยมันมีสำนักข่าวปาปารัชซี่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ภาพแอบถ่ายที่เหมือนกับสำนักข่าวดิสแพท(Dispatch)ปล่อยภาพออกมา...นางเอกสาวสวยซุปเปอร์สตาร์กับไฮโซหนุ่มหล่อเดินควงกันออกมาจากคอนโดหรูชื่อดังย่านสาทรราวๆเกือบเที่ยงคืน นางเอกสาวปิดหน้าปิดตาทว่ายังคงดูรู้ว่าเธอคือใคร รูปร่างผิวพรรณเพอร์เฟคแค่ไหน ขณะที่ไฮโซหนุ่มหล่อแบดบอยขวัญใจสาวเล็กสาวใหญ่ หญิงแก่แม่หม้ายทั่วประเทศ คุณเอสเธอร์แห่งรัชชากรุ๊ปเดินอยู่เคียงข้าง วันที่ในภาพนั้นคือหนึ่งสัปดาห์ก่อน

แคปแทบจะปาหนังสือที่ขยำจนยับยู่ยี่ทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น

จะเอาคืนกูหรือไง!!

“เดี๋ยวกูจัดการเอง” เขาตอบอาร์เสียงเย็นยะเยือก สีหน้าท่าทางไม่มีคำว่าล้อเล่นแม้แต่นิด อาร์พยักหน้าเบา ๆ นึกย้อนไปว่าแคปมันทิ้งลายมานานแค่ไหนแล้ว แต่ก่อนทั้งร้ายทั้งดุแสบสันแสบทรวงจะตาย มาพักหลังที่ควงกับเอสนั่นแหละแคปมันถึงยอมอ่อนข้อให้

“มึงจะเข้ากรุงเทพป่ะ”

“ต้องเข้าอยู่แล้วสิวะ!!

คุณเชื่อไหม คนโกรธนี่สามารถทำอะไรเหนือความคาดหมายได้เยอะแยะนะ แคปมันสามารถขับรถจากระยองเข้ากรุงเทพโดยใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ขับรถเลย ถ้าโกรธมากๆให้เดินจากกรุงเทพกลับระยองมันก็ทำได้แน่ ๆ
คนโกรธนี่ช่างน่ากลัวเอาเรื่องจริงๆ

“โหล นายมึงอยู่ไหม” พอปอรับสายปุ๊ปแคปก็ถามขึ้นเสียงห้วน อีกฝ่ายตกใจจนเผลอเงอะๆงะๆไปหมด

ใครจะรู้เจ้าแคปโผล่มาไวดีจริงๆ

“อยู่ นั่งทำงานอยู่ในห้องนี่แหละ มึงเห็นข่าวแล้วดิ” ปอถามเสียงเบาท้ายประโยค แคปยิ่งหน้าบึ้งเข้าไปใหญ่

เครียดจัด

“ไอ้สัสปอ มึงแม่งไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ไม่รู้จักรายงานกูเล๊ยยยยย สัปดาห์ที่แล้วมึงไปตายอยู่ขอบนรกหรือไงห๊ะ เรื่องแบบนี้ทำไมถึงปล่อยหนังสือแบบนั้นเอามาลงหา!!!

“กูจะไปรู้ได้ยังไง แล้วก็นะ ถ้าคุณนกไม่เอามาให้กูดูกูนี่ไม่รู้เรื่องเลยเหอะ หนังสือผู้หญิงแบบนั้นผู้ชายอย่างพวกเราไม่เคยซื้ออยู่แล้ว”

“ไอ้อาร์มันซื้อมาให้กูดูอ่ะดิ แล้วนี่กูก็เสือกหยิบติดมือมาอีก ยิ่งเห็นยิ่งเซ็งว่ะแม่ง” แคปสบถอย่างหัวเสียต่อ ฟังเสียงเพื่อนสนิทจากปลายสาย

“แล้วมึงอยู่ไหนน่ะ ถึงหรือยัง” ปอหมายถึงตึกรัชชา ถ้าหูเขาไม่เพี้ยน ทำไมถึงได้ยินเสียงเหมือนคนพ่นสเปรย์แว่วๆ

“ถึงแล้ว อยู่ข้างล่าง” 

“จะขึ้นมาป่ะ”

“ไม่เอาว่ะ เดี๋ยวทำธุระเสร็จ กูจะกลับไปรอมึงที่ห้องเลย คืนนี้ขอนอนด้วยละกัน”

“ทำธุระ?”

“เออ กูทำธุระอยู่”

“อ้าว??” จะอ้าปากถามว่าธุระอะไรของมัน เข้ากรุงมาแบบด่วนๆไม่ได้มาเคลียร์กับเจ้านายเขาหรือ ปอก็ไม่กล้า ไม่รู้แคปมันพูดในความหมายไหน เอาเป็นว่าสรุปคือเย็นนี้มันจะขอแวะไปนอนค้างด้วย

“ถ้าเจ้านายกูรู้ว่ามึงมาแล้วไม่ขึ้นมาหานะ เดี๋ยวก็มีเรื่องอีก”

“ช่างดิ มีเรื่องไปเลยกูนี่แหละจะจัดการมัน”

ปอได้ยินแบบนั้นมองซ้ายมองขวา ประตูห้องซีอีโอบานใหญ่ยังปิดสนิทดี เขาจึงกระซิบกระซาบ พูดเสียงเบาลงในโทรศัพท์ “มึงว่าในรูป ใช่เจ้านายกูแน่ป่ะวะ”

ได้ยินเสียงแคปแหวเข้ามา ปอถึงกับเบ้หน้าเพราะแสบแก้วหู “ไอ้สัสปอ มึงก็ลองทบทวนความจำดูเซ่! วันนั้นเจ้านายมึงใส่เสื้อผ้าแบบนั้นหรือเปล่าล่ะวะ ยังมาถามกูอีก ดูด้านหลังด้านข้างด้านหน้ากูก็ว่าใช่แล้ว นี่กูปวดหัวแล้วนะ”

ปอก้มมองภาพในหนังสือที่เขาแอบเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะอีกครั้ง ก่อนสรุปได้กับตัวเองว่า ดำทั้งชุดแบบนั้น กับนาฬิกาข้อมือเรือนทองเลิศหรู เสื้อผ้าหน้าผม...คุณเอสเธอร์แน่นอนไม่ผิดแม้สักส่วน!

“ชุดตรงเป๊ะเลย” ปอรำพึงออกมาเบาๆ แต่แคปได้ยินเต็มสองหูราวกับโดนมันแหกปากใส่ เจ้าแคปขบริมฝีปากบอกตัวเองให้อดทนจนหอบ ทว่าปอมันยังสุมเชื้อไฟเข้าไปอีก

“ควงกับดาราเกรดเอด้วยนะมึง นางเอกอันดับหนึ่ง แม่นั่นสวยเป็นบ้า กูชักอยากเห็นตัวจริงแล้วสิ ในรูปขนาดไม่ค่อยแต่งหน้ายังสวยเลย นายกูชอบแบบนี้ด้วยเหรอวะ”

“ไอ้สัส! เดี๋ยวกูจะฆ่ามึงก่อนนายมึงแน่ๆถ้ายังไม่หุบปากแล้วตอบคำถามกูมา”

“ครับๆ พี่แคปถามว่าอะไรครับพี่”

“มึงพูดว่าชักอยากเห็นตัวจริงแล้วใช่ไหม ความหมายของมึงคืออะไร แม่นางเอกนั่นยังไม่เคยมาหามันที่นี่??”

“ยังๆ กูไม่เคยเห็นนะ แต่เขาจะควงกันไปที่อื่นไหมอันนี้กูก็ไม่รู้สิ” ปอพูดไปตามที่คิดได้ ปลายสายเองก็เงียบไปเหมือนกันจนปอต้องเรียกถามว่าแคปยังโอเคไหม ขึ้นมาคุยมาถามให้รู้เรื่องไปเลยไม่ดีหรือ ทว่าแคปบอกว่ายังก่อน อารมณ์เขายังไม่เย็นขืนคุยตอนนี้จบเห่แน่นอน

“เอาเป็นว่าเย็นนี้เจอกัน กูจะรอมึงอยู่ที่ห้อง”

แคปตัดบท ปอพยักหน้าพลางรับปากว่าโอเค “แล้วจะให้กูบอกนายกูเรื่องข่าวที่ลงไหมวะ มึงคิดว่าไง”

“ไม่รู้เว้ย เรื่องของมึงคิดเอาเอง”

น้ำเสียงแคปน้อยอกน้อยใจจนปอจับสังเกตได้ นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆเขาจะตบบ่ามันไปแรงๆ ให้กำลังใจ ทว่าตอนนี้ก็ได้แค่ปลอบไปก่อน “บางทีเจ้านายกูอาจคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญก็ได้ ว่าแต่ นายกูไม่ได้บอกมึงจริงๆเหรอวะ ถามจริง วันที่มีภาพออกมาน่ะพวกมึงคุยกันตอนกลางคืนมันได้เล่าอะไรให้ฟังไหม” แคปมุ่นคิ้วทบทวนความจำ วันนั้นเขามัวแต่เล่นเกมส์ คุยกันได้แป๊ปเดียวเอสมันก็พูดโน่นพูดนี่ไปตามเรื่อง พอเห็นแคปไม่ค่อยสนใจก้มหน้าก้มตาเล่นเกมส์นัก แคปก็ถูกบังคับให้เปิดกล้องทิ้งไว้ เล่นไปคุยไปไม่รู้ว่าหลับผล็อยลงไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว

แต่เท่าที่จำได้วันนั้นเอสไม่ได้พูดเรื่องไปส่งผู้หญิงที่ไหนเลย

“ไม่อ่ะ ไม่นะ เท่าที่กูจำได้”

“เออถ้างั้นนายกูผิดเต็มๆ มึงคงต้องเคลียร์ว่ะแคป”

“เคลียร์แน่ แต่กูขอความสะใจก่อน”

“ยังไง”

สาบานได้ว่าปอได้ยินเสียงหัวเราะแบบชั่วร้ายแว่วมาตามสายก่อนที่แคปจะวางไป ขณะที่ทางแคปเอง พอกดวางสายจากปอเสร็จเขาก็เก็บโทรศัพท์มือถือยัดเข้ากระเป๋า ขยับมาสปิดปากไว้ก่อนเขย่ากระป๋องสเปรย์ในมือแล้วแสยะยิ้มชั่วร้าย ดวงตาสวยดุเป็นประกายเมื่อมองผลงานของตัวเองรอบๆรถเมอร์เซเดสสีดำคันงาม....ที่ตอนนี้เลอะเทอะและเปรอะไปด้วยสีสันสะท้อนแสงแสบตา รวมถึงปฏิมากรรมชั้นเลิศที่หน้ากระโปรงรถนั่นด้วย แหม่..กูอุตส่าห์แวะไปตักทรายมาจากริมหาดเลยเชียวนา







สิบเจ็ดนาฬิกาเวลาเลิกงานของคุณเลขาอย่างปรเมท เขาเก็บกระเป๋าเอกสารต่าง ๆ เคลียร์ข้าวของบนโต๊ะ ชั่งใจนิดๆตอนที่เปิดลิ้นชักแล้วเห็นนิตยสารปาปารัชซี่เล่มนั้น

ในที่สุดเขาลุกขึ้นเดินไปเคาะประตูห้องเจ้านายของเขาสองครั้งแล้วผลักเข้าไป วันนี้มีงานให้เซ็นต์อนุมัติและพิจารณาเยอะมาก โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเอสยังเต็มไปด้วยแฟ้มรายงานและเอกสาร

“ขออนุญาตครับนาย”

“อืม ว่าไง?” เจ้าของห้องยังไม่เงยหน้าขึ้นจากงานในมือเลยด้วยซ้ำ

“นายครับ นายจะทานอาหารเย็นที่นี่เลยไหมครับผมจะได้สั่งขึ้นมาให้” ความหมายของประโยคนี้คือบอกให้รู้ว่านี่เย็นมากแล้ว ถึงเวลาเลิกงานได้แล้ว ปกติถ้างานติดพันเอสจะเป็นแบบนี้เสมอ ลืมเวลา

“ไม่ต้อง เดี๋ยวจะกลับแล้ว” เขาวางแฟ้มเล่มสุดท้ายในมือลงก่อนดูเวลา ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยพลางรับแก้วน้ำดื่มเย็นเฉียบจากเลขาคนเก่ง ในตอนนั้น สังเกตเห็นว่าปอถือหนังสืออะไรติดมือเข้ามาด้วย

“นั่นอะไร มึงดูหนังสือแบบนั้นด้วย?”

ปอนึกยิ้มย่องในใจ แคปโว๊ยยย กูไม่ได้ฟ้องนะเห็นไหม แฟนมึงถามกูขึ้นมาเองทั้งนั้น เรื่องช่วยพวกมึงสองตัวให้คืนดีกันนี่คืองานหลักอย่างนึงของกู

ปอแอบรำพึงรำพันในใจพลางยื่นส่งให้เอสรับไปดู

ทว่าเอสกลับไม่ยื่นมืออกมารับ เขาส่ายหัวกับพฤติกรรมแปลกๆของปอ หรือว่ามันทำงานหนักมากไป จนหันมาสนใจอ่านข่าวสารประเภทนี้ “กูไม่สนใจอ่านหนังสือแบบนั้นหรอก มึงอ่านไปเถอะ”

“เปล่าครับ เปล่าๆ” ปอรีบปฏิเสธพัลวัน  “แต่ผมอยากให้เจ้านายลองเปิดผ่านๆดู”

“เปิดดูทำไมวะ” เอสถามอย่างสงสัย

“นะครับ เปิดดูให้ผมหน่อย ถ้าดูด้านหน้ายังไม่ชัดเพราะภาพมันไกล ก็รบกวนเจ้านายเปิดถึงแค่หน้าสิบสองก็ยังดี”

พอฟังถึงแบบนี้แล้วเอสนึกฉุกใจขึ้นมา ปอมันทำสีหน้าเจื่อนๆชอบกลแถมพอสังเกตดีๆที่หน้าปกนั่น รูปบางรูปมันเตะตาเขาอยู่ เอสจึงยื่นมือออกไปรับมาเปิดดู

ทว่าว่ายังไม่ทันได้เปิดหรอก

แค่เห็นข่าวพาดหัวที่หน้าปกแบบชัดๆความดันเขาก็ปรี๊ดขึ้นมาแล้ว

“อยู่หน้าไหน” เสียงทุ้มถามเย็นเฉียบ ปอรีบเข้ามาพลิกหน้าสิบสองให้ดูแบบเต็มตา

เอสถึงกับแน่นิ่งไป สักพักลุกพรวดขึ้นคว้าเสื้อสูทที่แขวนเอาไว้มาสวม

“เพื่อนมึงเห็นหรือยัง”

ปอเงียบไม่ยอมตอบ เอสจ้องเขาตาเขียว รู้แล้วว่าคำตอบของปอคืออะไร เขาถอนหายใจหนักๆหนึ่งที “มันขึ้นมาหรือยัง” เขาหมายถึงแคปเข้ากรุงเทพมาหรือยัง ปอจึงพยักหน้าตอบเบา ๆ “ครับ ขึ้นมาแล้วครับนาย”

“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“ก่อนหน้านี้อยู่ที่ตึกนี่ล่ะครับ แต่ตอนนี้มัน...เอ่อ...มัน น่าจะกลับไปแล้ว”

“ก็แล้วทำไมมึงเพิ่งมาบอกกูล่ะวะ!!” เอสสบถใส่อย่างดัง ร่างสูงใหญ่แทรกตัวผ่านออกมาเดินชนบ่าปออย่างแรงจนปอเซแถ่ดๆออกนอกทาง เอสใช้ลิฟต์ส่วนตัวดิ่งลงไปที่ช่องจอดรถ

ทว่าพอเห็นรถตัวเองเท่านั้นแหละ ความดันที่สูงอยู่แล้วยิ่งพุ่งขึ้นมาอีก ปวดกะโหลกจนหัวจะร้าว

“นี่รถกูจริงเหรอวะเนี่ย” ตบหน้าผากอย่างเซ็ง เมื่อมองดูรถยนต์คันสวยของเขาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยสีสเปรย์ฉีดพ่นเป็นลวดลายไร้สาระ กับข้อความที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าคนทำมันโมโหหนักขนาดไหน ซ้ำร้ายยังไม่พอที่กระโปรงหน้ารถแคปมันโรยทรายทับสีที่มันพ่นเอาไว้โปะหน้าด้วยเปลือกเงาะเปลือกมังคุดลำไยอะไรที่มันชอบนำไปหมักในถังหมักชีวภาพของมันละเลงใส่ไว้เป็นกองๆ

เอสปวดหัวหนึบ เขาถึงกับตะโกนเรียกยามแถวนั้นเข้ามาจัดการและเปลี่ยนรถให้

เวลารอรถคันใหม่อยู่ราวสิบห้านาที

“เรียบร้อยแล้วครับนาย” พนักงานยื่นกุญแจบีเอ็มดับเบิ้ลยูเปิดประทุนสีตะกั่วคันใหม่เอี่ยมส่งมาให้ เอสเดินเข้าไปนั่งด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ในตอนนั้นสายจากปอดังเข้ามา

“เพื่อนมึงแสบจริงๆ” ปอยังไม่ทันได้พูดธุระหากแต่โดนต่อว่าแทนเจ้าแคปมันเสียได้ เขายิ้มแห้ง ๆ ในใจคิดไปว่า เออ มึงจำไม่ได้หรือไงว่าแคปมันแสบมากอยู่แล้ว

“นายครับ เจอเพื่อนผมหรือยัง”

เอสด่าไปแบบไม่ยั้ง ปอถึงค่อยรู้ว่าแคปมันทำวีรกรรมผลงานอะไรไว้ มิน่าล่ะเจ้านายเขาเสียงเครียดเชียว รอรถคันใหม่ถึงได้ช้าไม่ทันใจอยู่แบบนี้

“แคปมันจะรอกินข้าวกับผมอยู่ที่ห้อง เย็นนี้เห็นบอกว่าจะขอค้างคืนด้วย”

“โอเค กูเข้าใจแล้ว” เอสกำลังจะกดวาง ทว่าปอเรียกเขาไว้อีกนิด

“อะไร”

“ผมเตือนด้วยความหวังดีครับเจ้านาย แคปมันทำขนาดนี้เจ้านายเปลี่ยนรถคันใหม่เถอะครับ คันเก่าที่มีผู้หญิงมานั่งแล้วเนี่ย ผมไม่แนะนำให้ใช้ขับไปรับเพื่อนผมอีกหรอกนะ”

เอสกดตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะเหยียบรถไปด้วยความเร็วสูง

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องเก่าห้องเดิมที่ตอนนี้ปอมันยังดูแลให้อยู่ ห้องที่เขากับแคปเคยใช้ร่วมกันมา
เขากดเรียกคนข้างใน

รอไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออก แคปที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นหัวยุ่งเหยิงไปหมด ขยี้ตาสองสามทีพอเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ก็รีบผลักจะปิดไว้อย่างเดิม

ทว่าสู้แรงเอสไม่ได้หรอก

“มาเมื่อไหร่ ทำไมไม่ขึ้นไปหากู” แคปไม่ตอบคำถามเดินไปหยิบเสื้อที่ถอดพาดไว้แบบลวกๆขึ้นมาสวม เอสกระชากแขนครั้งเดียวคนตัวเล็กกว่าเซถลาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

แคปเบ้หน้าแล้วพยายามผลักออก

“ผลงานใครไหนบอกกูซิ” เอสยื่นภาพในโทรศัพท์มือถือส่งให้ดู แคปปรายสายตามองนิดๆจากนั้นก็เมินไม่พูดไม่จา นึกสมน้ำหน้ารวยนักก็เปลี่ยนรถซี เปลี่ยนให้ได้ทุกวันนะมึง หึหึ เดี๋ยวเขาจะเข้าไปจัดการพ่นใส่ทุกวันเลยคอยดู

“แสบจริงๆ กูรู้ว่ามึงไม่พอใจเรื่องอะไร” แคปหันขวับมองคนพูดทันที ดวงตากลมๆจ้องเอสตาเขียว

“ถามกูสิถ้าไม่เข้าใจ เราเป็นคนๆเดียวกันแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วมีอะไรสงสัยมึงต้องถามกูสิวะ”

แคปได้ยินแบบนั้นยิ่งโกรธ ขบปากกัดฟันจนแน่น เหอะ จะให้เขาถามทำไม เราเป็นครอบครัวเดียวกันงั้นเหรอ เป็นครอบครัวเดียวกันเป็นคนๆเดียวกันก็ต้องบอกกันสิวะ มีข่าวออกมาแบบนี้ คนอื่นรู้ก่อนเขาแบบนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันตรงไหน มึงไปส่งไปรับใครมามึงควรจะเป็นฝ่ายบอกกูใช่ไหม!!

“แคป?”

คนที่ต้องบอกน่ะคือมึงเถอะ ไม่ใช่ข่าวออกมาแล้วเป็นกูที่ต้องถาม!!

แคปดันผลักออก แต่ว่าเอสยิ่งกอดเขาเอาไว้แน่น จับแคปให้หันมามองหน้ากัน

เจ้าแคปยังคงเมิน หันหน้าหนี สองมือใหญ่จึงประคองสองแก้มบังคับให้หันมา จ้องลึกลงไปในดวงตาโศก

“ฟังให้ดี ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่กำลังสนิทสนมกับพี่สาวกู นักข่าวกำลังตามข่าวเลสฯของพี่กูกับผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว กูไม่รู้แน่ชัดว่าเขาสองคนเป็นแบบไหนนะอาจจะเป็นแค่เพื่อนสนิทกันก็ได้ แต่ที่แน่ๆวันนั้นพี่แอมป์วานให้กูเข้าไปรับเธอที่คอนโดให้แล้วก็พากลับมาค้างที่บ้าน เห็นเปิดไวน์นั่งคุยกันอยู่ริมสระจนดึก”

แคปฟังแบบนั้นแล้วค่อยๆใช้สายตาเขียวๆมองเอสอย่างประเมิน คนถูกมองถึงกับต้องดีดหน้าผากเล็กลับไปเบาๆ

“มีแค่มึงคนเดียวก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ใครจะไปนึกหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวอีก”

ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มีสายเข้าจากพี่สาวเอสต่อเข้ามาที่มือถือแคปโดยตรง คุยกันได้ความอย่างเอสมันบอกจริงแคปก็อ่อนขึ้น รู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่ใจร้อนทำผิด ไปรังแกรถมันแบบนั้น มีอะไรควรถามกันและกันให้เข้าใจด่วนตัดสินไปแบบนั้นรังแต่จะเสียความรู้สึกกันไปทั้งคู่ แคปเงยหน้ามองคนที่ยืนกอดตัวเองอยู่ นึกย้อนถึงประโยคก่อนหน้าที่เอสมันพูด

“มึงพูดจริง?” ความหมายของแคปคือประโยคที่เอสบอกว่ามีเขาคนเดียวก็ปวดหัวจะแย่ ใครจะไปหาเรื่องมาใส่ตัวอีก
แล้วแบบนี้จะเบื่อเขาหรือเปล่าวะ

แคปเผลอกำเสื้อเอสไว้จนแน่น 

“กู...”

“กูไม่เคยโกหกมึง เชื่อใจกูได้” เอสยกมือขึ้นทำท่าแสดงสัจจะ แคปหน้าร้อนผ่าว ขบริมฝีปากก่อนฟาดผั๊วะลงไปที่ต้นแขนแรงๆแก้เขิน

“แล้วนั่งอยู่ในรถกับเธอคนสวยนั่น พวกมึงคุยอะไรกันมั่งล่ะ”

“ไม่ได้สนใจจำหรอก อยู่บนรถแทบไม่ได้พูดกับเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าจำไม่ผิดเธอเอาแต่ถามเรื่องพี่กูล่ะมั้ง พอถึงบ้านพี่แอมป์ก็เทคแคร์ต่อแล้วกูไม่สนใจอะไร คืนนั้นโทรหามึงแล้วมึงก็เล่นแต่เกมส์นั่นแหละ กูว่ากูเล่าแล้วนะเรื่องนี้”

“บอกตอนไหนไม่ได้บอกเหอะ” แคปหน้าตึงขึ้นมาอีก ชกอกเอสแรง ๆ ทว่าโดนรวบไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน เอสอาศัยทีเผลอขโมยหอมแก้มไปหนึ่งฟอด จากนั้นก็บีบพุง

“อะไรเนี่ยอ้วนขึ้นอีกแล้วเหรอ ไม่เจอแค่อาทิตย์เดียวเอง”

“อ้วนบ้าอะไร กูหนักเท่าเดิมเหอะ”

“แล้วนี่อะไร” เขาแกล้วขยำพุงแคปเล่น ทำหน้าทำตาบอกโอ๋ๆลูกพ่อจวนจะคลอดแล้วรึ จะตั้งชื่อว่าอะไรดี เจ้าแคปจึงฟาดผั๊วะๆมาอีกหลายรอบ

เอสหัวเราะก่อนยกคนทั้งคนอุ้มพาดใส่บ่าแล้วมุ่งเข้าไปที่ห้องนอน ทุลักทุเลนิดหน่อยเนื่องจากแคปมันไม่ใช่คนตัวเล็กๆ เขาจัดแจงวางแคปลงที่โต๊ะหนังสือตัวเก่าที่ตั้งคู่อยู่กับโต๊ะของเขา

“นี่โต๊ะใคร หื้ม?” คนพูดล็อคคนตัวเล็กกว่าอยู่ภายในวงแขน เขาคร่อมตัวแคปล็อคไว้บนโต๊ะแคบๆ

นึกถึงวันเก่าๆที่เขาสองคนหันหลังทำการบ้านของใครของมันแล้วอมยิ้มขึ้นมา

“โต๊ะกู” แคปตอบหน้าร้อนฉ่าเหตุเพราะโดนสายตาคมกล้าจ้องเอาจ้องเอา

“แล้วตัวนี้โต๊ะใคร” เอสถามยิ้มๆอีกครั้ง สายตามองลงที่โต๊ะตัวใหญ่ของเขาเอง ซื้อมาทีหลังแต่ตัวใหญ่จนกินพื้นที่ห้องแคปไปตั้งมาก ช่วงนั้นโดนบ่นจนหูชา

“โต๊ะหมา”

“ปากดีนัก” ทันทีที่คำว่าโต๊ะหมาหลุดจากปาก เอสก็จัดการลงโทษคนพูดโดยการทาบทับริมฝีปากจูบลงไป ความจริงแคปมันถีบออกได้แบบสบายๆ

หึหึ แต่ใครล่ะจะถีบ

สองคนดูดปากกันเล่นอยู่นานสองนาน ผละออกมาก็หัวเราะให้กัน จากนั้นโผเข้าหากันใหม่อีก เป็นแบบนี้อยู่เป็นสิบรอบแคปหน้าร้อนตัวแดงไปหมด แก้มกลมสุกลวกจนเอสอดไม่ได้ยกมือขึ้นลูบ

จากนั้นกิจกรรมหรรษาก็เกิดขึ้นที่โต๊ะหนึ่งรอบ กับมาต่อกันบนเตียงอีกหนึ่งรอบ

“ไม่เจอแค่อาทิตย์เดียวไม่รู้ไปอดอยากจากไหนมานักหนา เหี้ยเอ้ยยย” แคปบ่นฟอดๆแฟดๆไปตามเรื่อง พอถึงคราวตัวเองเข้าด้ายเข้าเข็มจวนจะเสร็จก็บอกให้เอสอย่าหยุดๆจนคนฟังทั้งขำทั้งเสียว

“มึงแม่ง สุดๆจริงๆว่ะแคป”

เสียงเพี๊ยะดังขึ้นแรง ๆ ไม่ใช่เอสหรอกนะที่ฟาดฝ่ามือลงไป เจ้าแคปเล่นฟาดเพี๊ยะลงไปที่ก้นแน่นๆของคนบนร่าง เอสถึงกับสะดุ้งถลึงตาใส่หน้าเขียว แคปหัวเราะคิกคัก

ก่อนที่เขาจะซุกริมฝีปากกัดลงไปที่ซอกคอแรงๆหนึ่งทีลงโทษ

กิจกรรมดำเนินต่อไป...

ต้นพลูด่างริมระเบียงยังออกใบเขียวสวย

ในตอนที่เอสกระทั้นกายครั้งสุดท้าย แคปที่เสร็จไปก่อนหน้านั้นเห็นระดับน้ำในขวดเหลือเพียงไม่ถึงครึ่ง ในใจพลันกำลังนึกว่าต้องเติมอีกนิดแล้ว ทว่าโดนมือหนาเข้ามาจับใบหน้าเขาเข้าไปรับจูบ

“อยู่บนเตียงช่วยสนใจแต่กูด้วยครับน้องแคปครับ ต้นไม้ใบหญ้าอะไรนั่นกูก็หึงได้เหมือนกันนะ มึงรู้ไหม”

แคปที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยจูบเร่าร้อนพยักหน้าอือๆอาๆรับ

คืนนั้นเอสฝันว่าได้ยินเสียงคล้ายคนมากระซิบอยู่ข้างหูบอกว่าให้เขาเปลี่ยนรถ

ในฝันเขาถามออกมาว่า..ทำไม

ภาพรถยนต์คันสวยที่เลอะเปรอะไปด้วยสีและเปลือกผลไม้หลายชนิดเข้ามาอยู่ในคลองสายตา เอสสะดุ้งตื่นกลางดึกรู้สึกเหมือนแคปกำลังพลิกตัวขยับห่างออกไป เขารีบคว้าคนที่กำลังจะตกเตียงอยู่รอมร่อเข้ามากอดไว้แนบอก

“ฮื่ออ..” แคปมันขู่ฟ่อทั้งที่หลับ เอสมองอย่างเอ็นดู เขากดจูบเบาๆหนึ่งทีที่ขมับเล็ก จากนั้นค่อยหลับลงไปตามกัน

“โอเค คงถึงคราวต้องเปลี่ยนรถอีกแล้วจริงๆ”










…….Howluckyiamhavingyoubesideme……